IPL (Intense Pulse Light) คือแสงที่มีช่วงคลื่นที่กว้างกว่าเลเซอร์โดยความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 nm ถึง 1200 nm จึงใช้รักษาปัญหาของผิวครอบคลุมได้หลายอย่าง ในการทำครั้งเดียว เพราะปัญหาผิวทั้งหลายบนใบหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องริ้วรอย รูขุมขนกว้าง สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดงต่าง ๆ ต้องใช้ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน แต่สามารถรักษาได้ในช่วงคลื่นของแสง IPL
IPL แต่ละช่วงคลื่นมีความแตกต่างกัน เหมาะกับกับรักษาอะไรบ้าง ?
1. สิว ผิวแพ้ง่าย พลังงานแสงจากเครื่อง IPL จะลงลึกเข้าไปทำลายเชื้อสิวที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes หรือ P. Acnes เมื่อลำแสงไอพีแอล ในช่วงคลื่น 420 – 1200 นาโนเมตร ลงไปถึงสามารถทำลายสารเป้าหมายที่แบคทีเรียสร้างขึ้น ได้แก่ endogenous porphyrin ทำให้ลดการอักเสบของสิว และลดการเกิดสิว
2. ฝ้า – กระ ลำแสงคลื่น IPL จะไวต่อสีผิวเข้มจึงดูดซึมแสงได้ดี ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่มีผิวคล้ำมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดการ burn ผิวได้ และนั่นเองคือหลักการที่ใช้ทำลายเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในชั้นผิว ทำให้เมลานินสลายไป ฝ้า กระลดลง ผิวค่อย ๆ กลับมากระจ่างใสได้อีกครั้ง
3.ริ้วรอย รูขุมขน พลังงานแสงจากเครื่อง IPL ลงลึกไปยังชั้นผิวใต้ผิวหนังกำพร้า ทำให้เซลล์ที่ได้รับพลังงานแสงในช่วงคลื่น 560 – 1200 นาโนเมตรถูกทำลายไป ร่างกายจึงกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน (collagen) ขึ้นมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป ส่งผลดีต่อผิวทำให้ผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น และลดร่องริ้วรอย อีกทั้งหลุมสิวดูตื้นขึ้นได้อีก
4. รอยแดง รอยสิว ใช้หลักการ Selective Absorption ที่หมายถึงการเลือกดูดซึมของฮีโมโกลบิน พบได้ในรอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว และน้ำในเซลล์ ดูดซับแสง ทำให้รอยแดง รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลงไปเรื่อย ๆ
5.กำจัดขนถาวร ใช้หลักการ Selective Photothemolysis ของเมลานินในเส้นขนที่ทำการดูดซับแสงธรรมชาติ IPL เข้าไปแล้วลงไปทำลายเซลล์รากขน ทำให้เซลล์รากขนอ่อนแอลง ขนจึงหลุดร่วงไป และเมื่องอกขึ้นมาใหม่ ขนก็จะไม่แข็งแรง ขนค่อยๆ บางลง จนไม่สามารถงอกขึ้นมาได้อีก แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ประมาณ 18 – 24 เดือน เซลล์รากขนจะกลับมาแข็งแรงและงอกขนขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถทำการยิงแสง ipl ได้อีกครั้ง
ราคาและความคุ้มค่าของการทำIPLและเลเซอร์
หากเปรียบเทียบด้านราคาระหว่างการทำ IPL และเลเซอร์ อัตราราคาของการรักษาต่อครั้งเลเซอร์จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่อย่างไรก็ตามการรักษาทีละปัญหาตั้งใช้เวลาที่มากและยังต้องมีค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่อีกมาก เนื่องจากการรักษาปัญหาผิวเมื่อหายแล้วเราจะมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรที่จะเลือกการรักษาที่อ่อนโยนและสามารถที่จะคอยช่วยบำรุงผิวไปพร้อมๆกับการรักษา และที่สำคัญที่สุดก็คือ การรักษาด้วยเครื่อง IPL ครอบคลุมได้มากกว่าและช่วยประหยัดเวลาในการรักษา รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่ามาก
สรุป
“ การทำ IPL คือ การใช้ช่วงคลื่นแสงที่มีความกว้างมากกว่าการทำ Laser ทำให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความครอบคลุมมากกว่า และค่าพลังที่ได้จากการทำ IPL สามารถรักษาปัญหาผิวต่างๆได้ถึงชั้นผิว แต่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการทำ Laser”