Meso fat vs Botox ต่างกันอย่างไร

Meso fat vs Botox ต่างกันอย่างไร

วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยกัน!Meso fat vs Botoxต่างกันอย่างไร ?

การแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้า หรือการปรับแต่งให้ดูดีสมส่วนมากขึ้นนั้น บางครั้งอาจต้องพึ่งเทคนิคมากกว่าหนึ่งเหมาะสม เช่นเดียวกันอย่าง แน่นอนว่าเราเองคงกําหนดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ในการเลือกวิธีที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการอยากมีใบหน้าที่เรียวเล็กได้รูป นวัตกรรมความงามที่มีหลายรูปแบบ ทําถามในใจว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้ตามที่คาดหวัง ส่วนใหญ่ที่นิยมคือ การฉีด Meso Fat และBotox แม้จะทําเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือปรับรูปหน้า แต่มีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกันวันนี้ Amitalia clinic จะพามาดูกันว่าสองเทคนิคนี้แตกต่างกันอย่างไร

มาทำความรู้จักกับ Meso Fat และ Botox กันซักนิด

MesoFat

MesoFat

คือการฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายไขมันส่วนเกินและเซลลูไลต์ จะทำการฉีดเข้าสู่ผิวหนังลึกเข้าไปในชั้นไขมัน สารเหล่านี้เป็นสารสกัดจากถั่วเหลืองหรือไข่แดง และวิตามินอีกหลายชนิด ทำหน้าที่ให้ไขมันที่จับตัวเป็นก้อนและตัวกลายเป็นไขมันเหลว ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ รวมทั้งยังสกีดกั้นการสะสมของไขมัน ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและระบบต่อมน้ำเหลืองทำงานสะดวกมากขึ้น เนื้อเยี่อบริเวณรอบๆ จึงมีความแข็งแรงและกระชับขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างเนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ สามารถย่อยสลายออกจากร่างกายได้หลังการฉีดจะเห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับไขมันที่สะสมอยู่บริเวณที่ฉีดว่ามีมากน้อยเพียงใด

Botox

Botox

คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxin Type A เป็นโปรตีนสกัดได้จากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ในแต่ละประเทศที่ใช้ก็จะมียี่ห้อต่างกัน เช่น อังกฤษก็จะใช้ชื่อ Dysport เกาหลีก็มีหลายยี่ห้อแต่ที่คุ้นกันในบ้านเราเช่น Neuronox Botulax หรือ Nabota ด้วยคุณสมบัติในการออกฤทธ์ที่ส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดนั้นมีการคลายตัว ลดการหดเกร็ง ผิวหนังด้านบนจึงดูเรียบขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยของใบหน้าชั่วคราว
นิยมทำเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น หางตาตก คิ้วตก ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามในการปรับเปล่ียนรูปหน้าให้เรียวสวย
จะเริ่มเห็นผลหลังฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ สามารถอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

สรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือ Meso Fat เป็นการฉีดสลายไขมันส่วน Botox ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดริ้วรอย สำหรับการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวมาบางคนอาจใช้แค่วิธีเดียว หรือใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันไป ปริมาณสารที่ฉีดเข้าไปก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลเช่นกัน

ส่วนไหนบนใบหน้าที่มักพบปัญหา จะใช้วิธีใดแก้ไขได้อย่างตรงจุ

กระดูกช่วงกราม

ถ้ากระดูกกรามใหญ่ขนาดของใบหน้าก็จะดูใหญ่ไปด้วยนี่คือโครงหน้าที่มีมาตั้งแต่เกิดทั้งMeso Fat และ Botox ไม่ช่วยอะไร กรณีนี้ต้องปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งเท่านั้น

กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคี้ยว

เป็นอีกส่วนที่ทําให้ใบหน้าดูใหญ่วิธีสังเกตคือลองกัดฟันให้แน่นแล้วเอามือสัมผัสดูส่วนที่นูนขึ้นมานั่นก็คือกล้ามเนื้อนี่เองและการปรับแต่งรอบๆกรอบหน้าให้ดูเข้ารูปซึ่งBotox จัดการกับเรื่องนี้ได้

แก้ม

ใบหน้าที่ดูอวบอิ่มไม่ว่าจะเป็นตามธรรมชาติหรือทานเยอะเกินไปหน่อยตรงส่วนนี้คือบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่ช่วงวัยเด็กแก้มป่องๆก็ดูน่ารักดีแต่เมื่ออายุมากขึ้น ทุกอย่างเริ่มหย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แก้มใหญ่ย้อยจึงเป็นปัญหาหนักใจของใครหลายคนรวมไปถึงไขมันใต้คางหรือที่เรียกว่าเหนียงนั้นเองกรณีเช่นนี้Meso Fat สามารถช่วยได้

ทั้งสองวิธีนี้เหมาะกับกลุ่มช่วงอายุน้อยกว่า 30ปี ไปจนถึงมากกว่า 40ปีสําหรับคนที่อายุน้อยถ้าไขมันสะสมไม่เยอะ อาจไม่จําเป็นต้องทําการสลายไขมันก็ได้ นอกจากนี้ยังนิยมฉีดบริเวณอื่นอีกด้วยเช่น น่อง สามารถฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกล้ามเนื้อบริเวณน่องให้ดูฟีบลงขาจึงดูเรียวยาว ฉีดเมโสแฟตเป็นการลดสัดส่วนเฉพาะจุด แต่อาจต้องทําร่วมกับวิธีอื่นๆ รวมถึงต้องควบคุมอาหารและออกกําลังกาย เพื่อขจัดไขมันเก่าและลดโอกาสการสะสมของไขมันใหม่

การสรรหาสุดยอดเทคนิคในการดูแลตนเองให้ดูดีอย่างสมํ่าเสมอถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมคํานึงถึงความปลอดภัยของสารที่ใช้ฉีดต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาซึ่งแน่นอนว่าที่ Amitalia clinic เรามีทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์และตัวยาผ่านการรับรองจาก อย.

เห็นมั้ยหล่ะคะว่าการทําความเข้าใจถึงข้อแตกต่างของmeso fat vs botoxนั้นไม่ได้ยากเลย ทีนี้ ทุกคนก็คงจะตัดสินใจกันได้แล้วใช่มั้ยหล่ะคะว่า ใบหน้าของเรา เหมาะกับการทําหัตถการแบบไหน จะ Botox หรือ Meso Fat

หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติม สามารถมาที่ Amitalia clinic ได้เลยคุณหมอของเรายินดีให้คําปรึกษาและแนะนํา รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

ติดต่อเรา

SKIN BOOSTER คืออะไร ช่วยอะไรผิวบ้าง

SKIN BOOSTER คืออะไร ช่วยอะไรผิวบ้าง

SKINBOOSTERคือ การเติมสารกระตุ้นและฟื้นฟูผิว ปรับให้ผิวอ่อนเยาว์ ชะลอริ้วรอย เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ปกป้องผิวจากมลภาวะ และช่วยให้การทํางานของเซลล์ต่างๆในผิวหนังทํางานได้อย่างปกติโดย คุณสมบัติของ SKIN BOOSTERนั้น จะมีดังนี้

  • ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน ทําให้คอลลาเจนมีการจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ และช่วยปกป้องการทําลายของคอลลาเจน
  • ช่วยลดการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังจากการแสดงสีหน้า ด้วยการยับยั้งการหลั่งสาร Acetylcholine และเพิ่มการหลั่งสาร Catecholamine ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย
  • ช่วยปรับผิวให้เปล่งปลั่ง ยกกระชับ เต่งตึง และกระจ่างใส

SKINBOOSTER เหมาะกับใคร

SKIN BOOSTER เหมาะสําหรับ

  • ผู้มีปัญหาริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน
  • ผู้มีปัญหาผิวหมองคลํ้า จุดด่างดํา จากความเสื่อมของผิวจากมลภาวะและแสงแดด
  • ผู้มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง
  • ผู้มีปัญหารอยหลุมสิว จุดด่างดําจากสิว

SKINBOOSTER เห็นผลลัพธ์เมื่อไรควรทําบ่อยแค่ไหน

หลังการรักษาด้วย SKIN BOOSTER ะจเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน1สัปดาห์ และจะอยู่ได้นาน 1เดือน

แนะนําให้รับการรักษา ทุก 1เดือน ใน 4ครั้งแรก และต่อไปทุก3เดือน

แนะนําให้รับการรักษาทุก 1เดือนสําหรับ

  • ผู้ที่มีภาวะหมดประจําเดือน
  • ผู้ที่สัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานหรือสัมผัสมลภาวะบ่อย
  • ผู้ที่ต้องการรักษารอยหลุมสิว

คําแนะนําก่อนและหลังการรักษาSKINBOOSTER

ก่อนการรักษา 1 สัปดาห์ : ควรงดอาหารเสริมในกลุ่ม นํ้ามันปลา วิตามินอี สารสกัดจากใบแปะก๊วย และยาแก้ปวดในกลุ่ม

Aspirin และ NSAID

หลังการรักษา

1.งดการล้างหน้า หรือแต่งหน้า 4ชั่วโมงหลังการรักษา
2.ควรดื่มนํ้าเปล่าอย่างน้อยวันละ 8แก้ว
3.สามารถทาครีมบํารุงได้ในวันถัดไปหลังการรักษา
4.งดการนวดหน้า ขัดหน้า 2สัปดาห์

สำหรับใครที่มีปัญหาจากที่กล่าวมาข้างต้น มาที่Amitalia clinic ด้วยคุณหมอที่ฝีมือดีที่สุดแะลตัวยาที่คุภณาพเยี่ยมผ่าน

การรับรองจาก อย.รับรองว่าคุณจะสวยปิ๊งกลับไปแน่นอน

รักษาใต้ตาคล้ำ ควรใช้ Filler หรือ Filorga Nctf ดีกว่า??

รักษาใต้ตาคล้ำ ควรใช้ Filler หรือ Filorga Nctf ดีกว่า??

หลายๆคนเริ่มมีคำถามว่าจะแก้ใต้ตาดำ หมองคล้ำสามารถทำยังไงได้บ้าง? ฉีดอะไรดี ฉีดอะไรเหมาะ วันนี้ Amitalia
clinic มีคำตอบ!

มาเริ่มที่ความแตกต่างระหว่าง Filorga Nctf กับ Filler กันเลย…

Filorga คืออะไร?

มารู้จัก Filorga กันบ้าง ตัวนี้ก็เป็นการฉีด Hyaluronic acid หรือ HA เหมือนกันแต่จะเป็นแบบเหลว และมีส่วนผสม
ของวิตามินอื่นๆ ที่ไปช่วยบำรุงในส่วนต่างๆ มีคุณสมบัติฟื้นฟูบำรุงมากกว่าเติมเต็ม แต่ถ้าฉีดเยอะพอก็เติมเต็ม ได้
เช่นกัน แต่ด้วยความเป็นของเหลวก็จะอยู่ได้สั้นกว่า Filler

Filler คืออะไร?

ทุกคนน่าจะคุ้นหูกันบ้างแล้ว สำหรับตัว Filler เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ที่นิยมฉีดกันทั่วไป ใช้ฉีดลด
ริ้วรอย ปรับรูปหน้า ซึ่งมีแบบชนิดนิ่มกับ แบบชนิดแข็ง มีอีกหลายยี่ห้อมาก ของแต่ละประเทศราคาก็จะแตกต่างกัน
ไป ส่วนอีกตัวจะเป็นการฉีดไขมัน ตัวนี้จะได้ในส่วนของการบำรุงมาด้วย ความเสี่ยงน้อย เพราะเป็นไขมันตัวเอง แต่
ระยะเวลาก็จะอยู่ได้สั้นกว่าฟิลเลอร์มาก เพราะไขมัน มันมีสิทธิ์สลายได้ไวกว่าเยอะมาก แค่เหงื่อออกก็สลายแล้ว ก็
เหมือนไขมันในส่วนอื่นๆ ของร่างกายถ้าออกกำลังกายไขมันก็มีสิทธิ์สลายเหมือนกันค่ะ

  • ตัวฟิลเลอร์จะเหมาะกันฉีดเติมเต็มเฉพาะจุด ลดริ้วรอยโดยตรง แต่จริงๆ ก็ฉีดได้ทั้งหน้า ราคาต่อ CC สูงกว่า แต่อยู่
    ได้นานกว่า 8 เดือน – 1 ปี
  • ตัวไขมันจะเหมาะกับฉีดปรับรูปหน้า ฉีดให้หน้าดูเต็มดูเด็กลง แต่จะอยู่ได้ระยะสั้นว่าฟิลเลอร์ แล้วแต่การดูแลด้วยค่ะ

(ท้้ง สองจุดประสงค์คล้ายกัน แต่ต่างกันทั้งผลลัพธ์การสลาย โดยฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ดีกว่า)

และถ้าฉีดเพื่อแก้ใต้ตาดำคล้ำ ตาโบ๋ลึก ควรใช้อะไรดีกว่า?

Filler เหมาะกับเติมเต็มผิว ถ้าใครใต้ตาลึก แนะนำเป็นการฉีด Filler ผลที่ได้ก็คือช่วยลดใต้ตาคล้ำได้เหมือนกัน แต่
ไม่ได้บำรุงผิวอะไรมาก แต่ตัว HA มีคุณสมบัติทำให้ผิวชุมชื่นอยู่แล้ว พอบำรุงบ้างนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ดี Filler
เหมาะกับเติมเต็มมากกว่า

แล้วถ้าใต้ตาคล้ำอย่างเดียวตาไม่ลึก ก็ควรใช้ Filorga เพราะเน้นบำรุงมากกว่า แถมฉีดได้ทั่วหน้า ทำให้ผิวฟู เด้ง
นอกจาก HA แล้วเค้ายังมีวิตามิน 14 ชนิด เช่น วิตามินเอ บี ซี และ อี ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างการทางาน
ของเซลล์ กรดอะมิโน 24 ชนิด ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนที่จะช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน
เพิ่มขึ้น สารแอนติออกซิแดนท์ 2 ชนิด ที่จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ สำหรับใครเน้นใต้ตาดำแต่ไม่ลึก แนะนำให้ ฉีด
Filorga

จากบทความข้างต้น หากคุณลูกค้าท่านไหนไม่ใจว่าใต้ตาลึกแค่ไหนถึงฉีดได้ หรืออยากให้คุณหมอช่วยประเมิณ เชิญ
ที่ Amitalia clinic ได้เลยค่ะ เราพร้อมดูแลคุณ และแน่นอนว่า ไม่ว่าจะ Filler หรือ Filorga ที่คลีนิกของเราใช้ของแท้
ได้รับรองจาก อย.

ติดต่อเรา

รักษาสิวด้วย Made Collagen ที่ Amitalia clinic

รักษาสิวด้วย Made Collagen ที่ Amitalia clinic

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) คืออะไร?

Made Collagen

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) เป็นชื่อทางการค้าของเมโส หน้าใส จากประเทศอิตาลี เป็นสารสกัด
จากธรรมชาติ ซึ่งสามารถสลายได้ 100% ไม่เป็นอันตราย

มาเด้ คอลลาเจนนี้สามารถช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้ง ฝ้า สิว จุดด่างดำ ผิวอักเสบ เป็นผื่น
ตลอดจนช่วยเติมความยืดหยุ่น เต่งตึงให้กับผิวหนัง ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และ ช่วยในเรื่องของระบบ
ไหลเวียนเลือด ให้ใบหน้าของเราขาว กระจ่างใส ตลอดจน ช่วยกระตุ้นการขับสารพิษที่ตกค้างในผิวออกทาง
น้ำเหลือง และกระจายสารอาหารภายในร่างกาย

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) เหมาะกับใคร?

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) เหมาะกับที่มีปัญหาผิว ดังต่อไปนี้

1. ผู้ที่มีสิว : ปัญหาสิวเกิดจากหลายสาเหตุทั้ง ฮอร์โมนและมลภาวะ สิ่งสกปรกต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในสิว การฉีดมา
เด้ คอลลาเจน จะช่วยปรับฮอร์โมนและขับสารพิษ ทำให้หน้าใส หมดปัญหาเรื่องสิว
2. ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย : มาเด้ คอลลาเจน จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างให้เซลล์ผิวแข็งแรง ทนต่ออาการแพ้ได้ดีขึ้น
3. ผู้ที่มีผิวอ่อนล้า : มาเด้ คอลลาเจน จะช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในผิว ที่มาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี
สารเคมี หรือ มลภาวะต่างๆ ที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน การทำมาเด้ ก็เหมือนกับการให้อาหารกับผิว ที่ช่วย
กระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ให้ผิวสว่างใส แข็งแรง
4. ผู้ที่มีฝ้า : มาเด้ คอลลาเจน มีสรรพคุณช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น จึงช่วย
ปรับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้ฝ้าฮอร์โมนน้อยลง

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) ใช้บริเวณไหน?

มาเด้ คอลลาเจน เน้นวิธีการฉีด 16 จุดทั่วหน้า เพื่อประสิทธิภาพในการกระจายตัวยา นอกจากนี้ ยังเป็นเทคนิคที่ทำ
ให้หน้าบวมช้ำน้อยลง ฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างล้ำลึก

มาเด้ คอลลาเจน

ทำไมต้องทำ มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) ที่ Amitalia Clinic

ที่ Amitalia clinic เรามีคุณหมอที่เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการทำ Made Collagen อีกทั้งตัวยาที่ใข้ได้รับการ
รับรองจาก อย. ซึ่งมั่นใจได้ว่ามาที่ Amitalia ปลอดภัยและได้คุณภาพอย่างแน่นอน

ก่อนและหลังรับบริการ มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen)

ก่อนทำ ควรเตรียมพร้อมดังต่อไปนี้

1. งดการรับประทานยากลุ่มแอสไพริน และวิตามิน 1 สัปดาห์
2. เตรียมสภาพร่างกาย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

และหลังการทำ มาเด้ คอลลาเจน ผู้ที่รับบริการควรทำตามข้อปฏิบัติในการดูแลตนเองดังต่อไปนี้

1. ไม่ควรนวด ไม่ควรเช็ดถูหรือเกา บริเวณท่ฉีด
2. สามารถล้างหน้า และแต่งหน้าได้ตามปกติ
3. งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
4. หากเกิด รอยแดง ช้ำ จากรอยเข็ม บริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ตามคำแนะนำแพทย์

ติดต่อเรา

รักษาหลุมสิวด้วย Fractional co2

รักษาหลุมสิวด้วย Fractional co2

Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ที่ทำงานด้วยการปล่อยคลื่นแสงในช่วง 10,600 นาโนเมตร ลงสู่ใต้ผิวหนังเป็นจุดเล็ก
มากๆ นับพันจุดต่อตารางเซนติเมตรด้วยระบบ Scanner ที่มีความแม่นยำสูง เมื่อแสงสัมผัสกับผิว จะเปลี่ยนเป็น
พลังงานความร้อน (Fractional Photothermolysis) ขึ้นและ ณ ตำแหน่งนั้นเอง ก็จะเกิดการทำลายเซลล์บนชั้นผิว
และมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ผิว ดูเรียบเนียนขึ้น นอกจำกนี้พลังงานแสงที่ผ่านลงไป ยังกระตุ้นการ
สร้างและจัดเรียงตัวของคอลลาเจนในผิวใหม่ทั้งหมด หรือที่เรียกว่าเกิด Collagen Remodeling จึงทำให้หน้ายก
กระชับ ริ้วรอยลดลง

Fractional CO2 ใช้รักษาอะไรได้บ้าง

• กระชับรูขุมขนบนใบหน้ำ
• รักษาผิวแตกลาย
• หลุมสิว ได้ทั้งแบบ Rolling Scar , Box Scar และ Ice Pick Scar

ขั้นตอนการรักษา

1. เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดใบหน้าของลูกค้า
2. ทายาชาทั่วบริเวนที่จะทำเลเซอร์ เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาที
3. เริ่มทำเลเซอร์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญ จะยิ่งทั่วหน้า 1 รอบ และ ย้ำเฉพาะจุดให้อีก 1 รอบ
4. หลังทำเสร็จ เจ้าหน้าที่จะลงยาแก้อักเสบ เพื่อป้องกันการอักเสบ และ รอยแผลเป็นหลังทำ

การดูแลหลังทำเลเซอร์

1. 24 ชั่วโมงแรกหลังทำเลเซอร์ ห้ามโดนน้ำเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากแผลยังสดอยู่ ให้เริ่มล้างหน้า
ด้วย น้ำเปล่า หรือ สบู่สูตรอ่อนโยน ได้ในวันถัดไป
2. ห้ามโดนแดด ช่วงที่มีสะเก็ด เพราะอาจทำให้เกิด รอยดำหลังการรักษาได้
3. พยายามอย่า แกะ หรือ เกา กรณีเกิดการระคายเคือง ช่วงเป็นสะเก็ด แต่ให้ใช้วิธีการทาครีมบำรุงเพิ่ม
ความชุ่มชื้นให้แก่ผิว สามารถทำเพิ่มได้ตามสะดวก
4. ทาครีมกันแดด ก่อนออกจากบ้านทุกคร้ัง โดยเลือกที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และ ป้องกันได้ทั้ง UVA
และ UVB
5. งดใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม ผลัดเซลล์ผิว หรือ ไวเทนนิง จนกว่าสะเก็ดจะหมด เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง
6. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หรือถ้าหากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้แต่งให้บางที่สุด เพื่อป้องกันการอุดตันของ
เครื่องสำอาง และ ก่อให้เกิดสิวอุดตัน และ อักเสบ ระหว่างการรักษา

ความเหมาะสมในการทำ

สามารถทำเลเซอร์ Fractional CO2 ได้ทุก 1 เดือน

ข้อควรระวัง

• เลเซอร์ชนิดนี้ มีโอกาสทำให้เกิดแผลเป็นชนิด รอยดำ (PIH) หลังการรักษาได้ แต่จะหายได้เองในระยะเวลา 3-6 เดือน
• เลเซอร์ตัวนี้ จำเป็นต้องได้รับการดูแลและปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ตลอดการรักษา เพื่อป้องกันอาการอักเสบที่
เกิดจากการดูแลไม่ดี ซึ่งส่งผลให้เกิดรอยดำหลังการรักษาได้

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องหลุมสิว มานาน แก้ยังไงแก้ยังไงก็ไม่หายสักที แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอที่ Amitalia Clinic ได้นะ
จ๊ะ คุณหมอของเรามีความเชี่ยวชาญ พร้อมประเมิณใบหน้าของทุกท่านให้สวย เนียน ใส ไม่กังวลแน่นอน

สนใจติดต่อเรา