ทำความรู้จักกับ Q-switch เลเซอร์ ทางลัดสู่ผิวสวย

Q-switched เป็นการลบรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำด้วยการใช้คลื่นแสง เมื่อทำแล้วจะส่งผลให้ลดการสร้างเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ผิวที่สร้างใหม่นั้นจะแลดูกระจ่างใส อ่อนวัย มีความนุ่มและเรียบเนียน และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะต้องทำประมาณ 3 – 6 ครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความตื้นลึกของเม็ดสีของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน

Q-switch เหมาะกับใคร

Q-switch เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ รอยแดง รอยดำจากสิว รอยแผลเป็น หรือ ต้องการที่จะลบรอยสัก นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาผิวในข้างต้นได้แล้ว Q-switch ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวเนียนใส และกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ที่มีสิวอักเสบไม่ควรรับบริการ Q-switch เพราะอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบมากกว่าเดิม

วิธีการทำงานของ Q-switched

ก่อนการทำ Q-switched จะต้องทายาทิ้งไว้ประมาณ 40 – 60 นาที จากนั้นทำการยิงเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 10 – 30 นาที ซึ่งอาจจะมีอาการแสบร้อนบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นอาจมีผิวหน้าแดงบ้าง โดยพลังงานแสงที่ปล่อยออกมาจะทำให้เม็ดสีในบริเวณที่กำจัดนั้นแตกตัวออก ต่อจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะดูดซึมเม็ดสีเหล่านี้และย่อยสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ แล้วจะถูกกำจัดด้วยการขับเป็นของเสียออกจากร่างกาย

Q-switch ใช้บริเวณไหน?

Q-switch นิยมใช้บริเวณใบหน้า และส่วนอื่นที่มีปัญหาผิว สำหรับการทำ Q-switch จะใช้เวลาทำประมาณ 1  ชั่วโมงครึ่ง แบ่งเป็นเวลาในการทายาทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที – 1 ชั่วโมง และการยิงเลเซอร์ 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ โดยขณะที่ทำผู้รับบริการอาจมีอาการแสบร้อนตรงบริเวณที่รักษาบ้าง แต่จะดีขึ้นหลังจากรักษาเสร็จ

การทำ Q-switched ครั้งแรกมักได้ผลประมาณ 80 % แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะต้องทำประมาณ 3 ครั้ง โดยเว้นห่างกันครั้งละ 3 – 6 สัปดาห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ผิวหนังที่เป็นผู้วางแผนการรักษา และหลังการทำอาจเกิดเป็นสะเก็ดเล็กๆ หรือรอยดำในบริเวณที่ทำ แต่จะหลุดออกจนหมดภายใน 1 – 2 สัปดาห์

ผลลัพธ์หลังรักษา Q-switched

• รอยฝ้า กระ และจุดด่างดำบนใบหน้าลดลง

• แก้ปัญหารอยดำและรอยแดงจากสิว

• รักษารอยคล้ำบริเวณริมฝีปากให้จางลง

• ลบรอยสักคิ้วและรอยสักต่างๆ โดยลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉดสีและระยะเวลาในการสักของแต่ละบุคคล ซึ่งรอยสักที่แก้ไขได้ คือ สีดำ น้ำตาล และน้ำเงิน

• ทำให้ผิวใสขึ้นและสีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ

• ผิวขาวเนียนขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา และจะได้ผลชัดเจนขึ้นหลังทำไป 5-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

การรักษาสิวปัญหาผิวหน้า Laser CO2

“ นี่หน้าคนหรือหลุมดวงจันทร์ ” คุณคงไม่อยากให้ใครมาทักจนเสียเซลฟ์ หมดความมั่นใจเพราะหลุมเล็กหลุมใหญ่ที่ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “หลุมสิว”  ยิ่งกลบ ยิ่งโบ๊ะด้วยแป้งหรือรองพื้นหนาๆก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันเพิ่มขึ้นสร้างความหนักใจให้กับคุณยิ่งไปอีก หากพูดถึงเลเซอร์ที่ช่วยในการรักษาสิว ชื่อของ ”  Laser CO2  ” คงมาเป็นอันดับต้นๆ เป็นเลเซอร์สิวอุดตันที่ถูกพูดถึงมากที่สุดตัวหนึ่ง ช่วยลดการอุดตันของสิวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสิวไม่มีหัวหรือสิวที่เกิดจากการแพ้ครีม CO2 Laser คือทางออกที่น่าสนใจทีเดียว ว่าแล้วมาทำความรู้จักกับเจ้าเลเซอร์สิวอุดตันตัวนี้อย่างละเอียดกันดีกว่า มีอะไรน่าสนใจบ้าง

Laser CO2 การรักษาสิวให้หายเร็วโดยใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์

ปกติสิวสามารถรักษาด้วยการทายา หรือทายาร่วมกับกินยา ทางผิวดีคลินิกจะใช้ Laser CO2 ในการรักษาสิว ในกรณีที่คนไข้คนนั้นมีสิวอุดตันมาเป็นเวลานาน และไม่ตอบสนองต่อการทายาหรือกินยา สิวอุดตันมักโตเป็นสิวอักเสบทำให้คนไข้รำคาญใจ มีตุ่มแดงบนใบหน้า และเมื่อตุ่มแดงสิวหาย มีโอกาสเกิดเป็นรอยสิวและแผลเป็น ฉะนั้นการทำเลเซอร์รักษาสิวอุดตันจะเป็นการช่วยป้องกันสิวอักเสบได้ คนที่ต้องการรักษาสิวให้หายเร็ว ๆ ไม่อยากรอผลจากการทายา หรือกินยา (ซึ่งใช้เวลา 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน)  เลเซอร์สามารถรักษาสิวอุดตันได้ดี โดยเปิดช่องทางออกของต่อมไขมัน ซึ่งจะสามารถรักษาสิวอุดตันให้หายไปได้และป้องกันผลข้างเคียงจากสิวเพราะสิวอุดตัน ถ้าทิ้งไว้ก็มีโอกาสเกิดสิวอักเสบเม็ดโตและสิวหัวช้าง ซึ่งทำให้เกิดรอยแดงรอยดำจากสิว  และ รอยแผลเป็น หลุมสิว ตามมาได้ ฉะนั้นการทำ เลเซอร์ CO2 รักษาจึงมีประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงดำ และ แผลเป็นสิวในอนาคต

การทำ CO2 laser ในการรักษาสิวส่วนมากมักทำเพียงครั้งเดียว  ถ้าเก็บรายละเอียดได้ดี การทำครั้งเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าเก็บรายละเอียดไม่หมด เช่น ทำเฉพาะสิวอุดตันหัวใหญ่ และ สิวอุดตันหัวกลางถึงเล็ก และยังมีสิวอุดตันเม็ดจิ๋วอยู่ก็ต้องมาทำครั้งที่2 เนื่องจากครั้งแรกไม่หมดหรือเม็ดสิวที่อุดตันขนาดจิ๋ว เริ่มโตภายใน 2-3 อาทิตย์ต่อมา สิวอุดตันที่ฝังลึกและเป็นมาเป็นเวลานาน สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้ Laser CO2 ช่วยในการเปิดรูต่อมไขมันที่อุดตัน การรักษาใช้เวลา 15-40 นาทีขึ้นกับจำนวนเม็ดสิว ทำเพียงครั้งเดียว เหมาะกับผู้ที่มีสิวอุดตันจำนวนมาก ต้องการเห็นผลรวดเร็ว และป้องกันการเกิดสิวอักเสบและแผลเป็น

หลัง LASER CO2 ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

– หลังทำ 24 ชั่วโมงแรก ห้ามให้ผิวหนังบริเวณที่ทำเลเซอร์โดนน้ำเด็ดขาด แต่หากจำเป็นต้องล้างหน้า ให้ล้างเบามือที่สุด

– กรณีเลเซอร์รักษารอยแผลเฉพาะจุด ควรปิดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ 7 วัน แต่หากพลาสเตอร์กันน้ำหลุดออกก่อน ให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ทายาป้องกันการติดเชื้อ และปิดพลาสเตอร์ใหม่

– ห้ามโดนแสงแดด 2-4 สัปดาห์

WHAT ARE PDO THREADS?

PDO (Polydioxanone) threads are absorbable sutures that can lift and rebuild the structures of the skin. PDO threads have received FDA clearance and are now recognized as a safe, minimally-invasive alternative to surgical face and neck lifts. Although PDO threads cannot completely replace a full face lift, they can delay the need for surgical procedures as well as increase the longevity of a previous facelift by supporting the skin and preventing sagging and premature wrinkles. The PDO facelift makes for a fine non-invasive procedure to help your skin.

PDO threads are made from Polydiaxanone suture material that has been used in surgical procedures, such as cardiac, osteopathic and plastic surgery for decades. Hypoallergenic and non-pyrogenic, PDO threads are a safe and effective way to lift and tighten sagging skin. Once inserted into the skin, the threads will instantly lift loose skin and continuously stimulate neocollagenesis to improve skin texture, fine lines and wrinkles and the overall firmness of the skin. PDO threads also induces the formation of elastin, which is the main protein constituent of elastic connective tissue in the dermis, which gives your skin the stretch and bounce back to its original shape. By stimulating the growth of bio-identical collagen and elastin in the skin, you can rebuild the building blocks and reverse the signs of aging.

How Does It Work?

Threads are classified largely into 2 categories, barbed and non-barbed. Barbed threads have little ‘arms’ on the suture that can pull up the skin and keep it suspended. These barbed threads are inserted into the skin and will hold and grab the skin, and as they are activated, will lift and suspend. Non barbed threads come in a variety of sizes and lengths. The primary mechanism of action of non barbed threads is to induce collagen and elastin production. This will smooth out uneven texture and create a scaffolding deep within the skin to tighten and volumize, for an all over youthful look.

Collagen and elastin are protein chains that act as a foundation that support and lift the skin. As you age, your skin loses these structural building blocks, causing the skin to sag and lose its firmness. PDO threads creates a mechanical inflammatory response that induces the body to create new collagen and elastin. This inflammatory response also increases blood flow to the area that brightens the skin and gives it an all over ‘glow’. They can also contract fat and tighten the surrounding tissues.

Most facial procedures can take anywhere between 20 minutes to an hour, and simple individual areas can take between 5 to 15 minutes. Minimal pain is usually reported from the procedure, and local and topical anesthesia is used to alleviate any discomfort. Lifting is achieved immediately after the treatment, although optimal results are usually seen within 2-3 weeks. Threads will dissolve within 3-9 months, depending on the type of threads used, but neocollagenesis can continue for up to 18 months after the procedure as tissue constituents grow around the lattice created by the thread.

WHO IS THE RIGHT CANDIDATE FOR THREAD LIFTS?

PDO thread lifts are effective for mild and moderate lifts. The heavier the tissue to be lifted, the more threads that will be required and the longevity of the lift will be reduced.

In most instances, once optimal lift is achieved, results will last anywhere from 18 to 24 months. However, the heavier the area to be lifted, a significant improvement is difficult to achieve and the duration of the lift will be shorter.

ARE PDO THREADS SAFE TO USE IN COMBINATION WITH OTHER AESTHETIC TREATMENTS?

Absolutely! Other non invasive therapies such as fillers, collagen, prp, lasers and neurotoxins are great adjunct therapies that work well with PDO threads. It is important to know what therapies to do first and how long to wait in between treatments, to allow each product to work to its full potential and for the optimal aesthetic outcome.

FACIAL FILLERS OVERVIEW

Guarantee review case by many customers

For patients looking for a facial rejuvenation without any downtime or enhancement of certain facial features, facial fillers are an excellent option. Our Doctor  understanding of anatomy and aesthetic vision to achieve near-surgical results. Our Doctor is known as an injectable specialist, and is sought by patients who desire a higher level of care in their injectable treatments.

WHAT IS A FACIAL FILLER?

In general, we use fillers to replace volume, which then helps to restore a natural, rested look. Unfortunately, we associate a sunken, gaunt look with age and disease, whereas we are all attracted to the youthful fullness of a face that has retained its curves and a supple appearance.

Some fillers fit the definition of a non-extreme treatment we offer to help individuals to look good quickly and make a good first impression. Some filler treatments can be done in minutes in the office with very little downtime. Most of the newer filler agents available today can provide a great youthful look by the coming weekend.

We sometimes use fillers in combination with other treatments. A Botox injection, followed by a filler and laser treatment, is one of the most common combination treatments and is a fast way to make an improved first impression. Both men and women seek injectables to restore their youthful appearance without drastically altering their looks, in order to enhance their attractiveness and self-confidence in their social and personal lives, and in today’s competitive workplace and business environment.

These factors combine to create the look we associate with the aging face. In addition, if we don’t replace facial volume, but just pull the skin and muscles tight, we end up with unusual lines on the face, plus a skeletal or cadaver look – and that is certainly inconsistent with an appearance of health or youthfulness!

WHO IS A GOOD CANDIDATE FOR FILLERS

In general, those who have lost volume or have deepening furrows, creases, and lines characteristic of aging can benefit from fillers. Those who are younger, but desire bigger lips or bigger cheeks or a more defined chin can also benefit from fillers. In the sections below, you will find information about a variety of fillers, including those no longer frequently used or on their way out.

IPL กับเลเซอร์แตกต่างกันอย่างไร?

IPL (Intense Pulse Light) คือแสงที่มีช่วงคลื่นที่กว้างกว่าเลเซอร์โดยความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 nm ถึง 1200 nm จึงใช้รักษาปัญหาของผิวครอบคลุมได้หลายอย่าง ในการทำครั้งเดียว เพราะปัญหาผิวทั้งหลายบนใบหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องริ้วรอย รูขุมขนกว้าง สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดงต่าง ๆ ต้องใช้ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน แต่สามารถรักษาได้ในช่วงคลื่นของแสง IPL

IPL แต่ละช่วงคลื่นมีความแตกต่างกัน เหมาะกับกับรักษาอะไรบ้าง ?

1. สิว ผิวแพ้ง่าย พลังงานแสงจากเครื่อง IPL จะลงลึกเข้าไปทำลายเชื้อสิวที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes หรือ P. Acnes เมื่อลำแสงไอพีแอล ในช่วงคลื่น 420 – 1200 นาโนเมตร ลงไปถึงสามารถทำลายสารเป้าหมายที่แบคทีเรียสร้างขึ้น ได้แก่ endogenous porphyrin ทำให้ลดการอักเสบของสิว และลดการเกิดสิว

2. ฝ้า – กระ ลำแสงคลื่น IPL จะไวต่อสีผิวเข้มจึงดูดซึมแสงได้ดี ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่มีผิวคล้ำมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดการ burn ผิวได้ และนั่นเองคือหลักการที่ใช้ทำลายเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในชั้นผิว ทำให้เมลานินสลายไป ฝ้า กระลดลง ผิวค่อย ๆ กลับมากระจ่างใสได้อีกครั้ง

3.ริ้วรอย รูขุมขน พลังงานแสงจากเครื่อง IPL ลงลึกไปยังชั้นผิวใต้ผิวหนังกำพร้า ทำให้เซลล์ที่ได้รับพลังงานแสงในช่วงคลื่น 560 – 1200 นาโนเมตรถูกทำลายไป ร่างกายจึงกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน (collagen) ขึ้นมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป ส่งผลดีต่อผิวทำให้ผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น และลดร่องริ้วรอย อีกทั้งหลุมสิวดูตื้นขึ้นได้อีก

4. รอยแดง รอยสิว ใช้หลักการ Selective Absorption ที่หมายถึงการเลือกดูดซึมของฮีโมโกลบิน พบได้ในรอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว และน้ำในเซลล์ ดูดซับแสง ทำให้รอยแดง รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลงไปเรื่อย ๆ

5.กำจัดขนถาวร ใช้หลักการ Selective Photothemolysis ของเมลานินในเส้นขนที่ทำการดูดซับแสงธรรมชาติ IPL เข้าไปแล้วลงไปทำลายเซลล์รากขน ทำให้เซลล์รากขนอ่อนแอลง ขนจึงหลุดร่วงไป และเมื่องอกขึ้นมาใหม่ ขนก็จะไม่แข็งแรง ขนค่อยๆ บางลง จนไม่สามารถงอกขึ้นมาได้อีก แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ประมาณ 18 – 24 เดือน เซลล์รากขนจะกลับมาแข็งแรงและงอกขนขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถทำการยิงแสง ipl ได้อีกครั้ง

ราคาและความคุ้มค่าของการทำIPLและเลเซอร์

หากเปรียบเทียบด้านราคาระหว่างการทำ IPL และเลเซอร์ อัตราราคาของการรักษาต่อครั้งเลเซอร์จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่อย่างไรก็ตามการรักษาทีละปัญหาตั้งใช้เวลาที่มากและยังต้องมีค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่อีกมาก เนื่องจากการรักษาปัญหาผิวเมื่อหายแล้วเราจะมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรที่จะเลือกการรักษาที่อ่อนโยนและสามารถที่จะคอยช่วยบำรุงผิวไปพร้อมๆกับการรักษา และที่สำคัญที่สุดก็คือ การรักษาด้วยเครื่อง IPL ครอบคลุมได้มากกว่าและช่วยประหยัดเวลาในการรักษา รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่ามาก

สรุป

“ การทำ IPL คือ การใช้ช่วงคลื่นแสงที่มีความกว้างมากกว่าการทำ Laser ทำให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความครอบคลุมมากกว่า และค่าพลังที่ได้จากการทำ IPL สามารถรักษาปัญหาผิวต่างๆได้ถึงชั้นผิว แต่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการทำ Laser”

Hifu ยกกระชับหน้า แก้ม+เหนียงไม่ต้องเสี่ยงผ่าตัด ไม่ทำไม่ได้แล้ว!

HIFU หรือ High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง โดยส่งเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังในชั้น SMAS หดตัว คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ กระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ใต้ผิวหนัง โดยคลื่นอัลตร้าซาวด์นี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผิวชั้นนอก และไม่ส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ Hifu

Hifu ถือเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด ในเรื่องของการยกกระชับผิว ทั้งบริเวณใบหน้า เหนียง คอ แม้แต่ต้นแขน และต้นขา เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรก ยิ่งสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดี มีความปลอดภัยสูงและการดูแลหลังทำ hifu ก็ไม่ยุ่งยากเหมือนกับการยกกระชับด้วยวิธีอื่นด้วย ซึ่งปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อาจจะต้องให้แพทย์ช่วยประเมิน และแนะนำวิธีที่ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

Hifu เห็นผลทันที จริงไหม?

หลังทำการรักษาด้วย Hifu เห็นผลทันที 10-20% ชั้นผิวจะหดตัวจากความร้อนที่ Focus ลงใต้ผิว หลักการคล้ายกับเนื้อที่เราวางลงบนกระทะร้อนๆ เนื้อจะหด แต่นวัตรกรรมการยกกระชับด้วยการทำ hifu นี้จะไม่ทำให้ผิวชั้นบนร้อน หรือไหม้ โดยความร้อนที่ใช้ยิงลงชั้นใต้ผิว จะอยู่ที่ 60°C-70°C การทำการยกกระชับ ด้วยการทำ Hifu เห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ เวลาผ่านไป 1-2 เดือน และอยู่ได้นานถึง 6-8 เดือน และสามารถมีระยะเวลาคงอยู่ได้ถึง 1 ปี ขึ้นไป

ความรู้สึกขณะทำ Hifu เจ็บไหม ?

การทำ Hifu ที่ได้ประสิทธิภาพนั้น ขณะทำต้องมีความรู้สึกปวดๆตึงๆ บริเวณใต้ชั้นผิวแสดงถึงการยิงคลื่นเสียงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ SMAS เพื่อความยกกระชับ และอาการหลังทำ hifu คือบวมเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ยุบบวมไปเอง

Hifu สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม ?

การยกกระชับใบหน้า  ในแต่ละครั้งเราไม่จำเป็นต้องเลือกทำได้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทำแค่ Hifu อย่างเดียว สามารถทำ Hifu ร่วมกับหัตถการอื่นๆได้ เช่น ฟิลเลอร์ ฉีดเมโสแฟต ฉีด/ร้อยไหม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและไวยิ่งขึ้น เช่นบางท่านที่มีร่องแก้มลึกมากๆ แพทย์ก็จะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์หากต้องการผลลัพธ์ทันทีและชัดเจนค่า แต่ก็ขอแนะนำให้พบแพทย์เพื่อออกแบบการรักษาให้เหมาะกับปัญหาใบหน้าของแต่ละคน

“การรักษาด้วยวิธีการทำ hifu นั้น เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ที่มีปัญหาหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่กระชับ กรอบหน้าไม่ชัดและมีเหนียง สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำ Hifu และ Hifu ยังสามารถใช้ได้ทุกจุดบนร่างกาย ตั้งแต่ ใบหน้า ลำคอ รวมไปถึงเรือนร่างอีกด้วย”