โดย admin | ส.ค. 3, 2021 | สาระน่ารู้, Hifu
Hifu vs Thread Lift อะไรเห็นผลมากกว่ากัน?
HIFU กับ ร้อยไหม (Thread lift) ก็เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมยอดฮิตที่สาว ๆ นิยมทํากัน เรามาดูกันว่า…ระหว่าง
การทํา HIFU กับการร้อยไหม ต่างกันยังไง ?
Hifu คืออะไร ?
HIFU ย่อมาจาก High Intensity Focus Ultrasound นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการยกกระชับ ด้วยการนําคลื่น อัลตร้าซาวด์ความถี่สูง ปล่อยลงใต้ผิว ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึง หน้า ช่วยลดริ้วรอย ลดเหนียง และยกกระชับใบหน้า เต่งตึง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าการทํา ไฮฟู (HIFU) ถือเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุดในการยกกระชับผิว ทั้งบริเวณใบหน้า เหนียง คอ รวมไปถึงต้นแขน และต้นขา สามารถเห็นผลหลังทําทันทีตั้งแต่ครั้งแรก และเหมาะอย่างยิ่งสําหรับสาว ๆ ที่กลัวเข็มหรือกลัวการผ่าตัด
สําหรับบริเวณที่นิยมฉีด Hifu จะมีดังนี้
- บริเวณ “ คิ้ว ”
- บริเวณ “ ร่องแก้ม ร่องน้ําหมาก ”
- บริเวณ “ รอยย่นที่คอ ”
- บริเวณ “ แก้ม ”
- บริเวณ “ กรอบหน้า ”
- บริเวณ “ เหนียงใต้คาง ”
ร้อยไหม (Thread Lift) คืออะไร ?
การร้อยไหม คือ วิธีการยกกระชับผิวโดยใช้ไหมละลาย หรืออาจจะพอคุ้นหูกันบ้าง ว่าไหม PDO ทําจากโพลี ไดออกซาโนน (Polydioxanone) ซึ่งใช้ในการเย็บแผลผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ มักไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และได้รับการ รับรองความปลอดภัยจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไหมตัวนี้จะค่อย ๆละลายหายไปเอง ซึ่ง ปัจจุบันมีการพัฒนาไหมละลาย แต่ทําในหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน รวมถึงช่วยให้ระยะเวลาอยู่ ได้นานขึ้น เช่น
ไหม pdo เส้นเรียบ หรือในบางคนเรียกว่า ไหมคอลลาเจน จะเป็นไหมเส้นเล็ก โดยหมอจะร้อยในชั้นคอลลา เจน เพื่อเน้นให้ผิวกระชับ แน่นมากกว่าการหย่อนคล้อย
ไหมก้างปลา หรือบางคนเรียกว่าไหมเงี่ยง คือไหมชนิดเดียวกัน พัฒนามาจากไหม พีดีโอหรือคอลลาเจนเส้น เรียบ ให้มีเงี่ยงเกาะผิวได้มากขึ้นรวมถึงเส้นไหมที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ยกผิวหย่อนคล้อยและกระชับผิวได้มากขึ้น อยู่นาน ขึ้น โดยไหมเงี่ยงนี้จะอยู่นานประมาณ 1 ปี คุณหมอจะร้อยลึกกว่าไหมคอลลาเจน โดยร้อยลงชั้นกล้ามเนื้อ
ไหมหล่อแบบ PCL (ไหมปากฉลาม) คือไหมที่มีการสลักไหม ให้มีการยึดเกาะ 2 ทิศทางทําให้ยกกระชับผิว ได้มากขึ้นมากกว่า ความแข็งแรงทนทานของไหมมากขึ้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเยอะมาก หรือไม่ อยากร้อยไหมจํานวนเยอะ ตัวเข็มของไหมตัวนี้ ออกแบบมาในแบบเข็มขู่ซึ่งลดความเจ็บและการบวมช้ําได้มากหลัง ทํา รวมถึงอยู่ได้นานกว่าไหมทั่วไป
สําหรับการร้อยไหม…นิยมร้อยบริเวณใดบ้าง
- บริเวณ “ คิ้วตก หางคิ้วซุ้ม ”
- บริเวณ “ ริ้วรอบรอบดวงตา หรือถุงใต้ตา ”
- บริเวณ “ จมูก ”
- บริเวณ “ ริมฝีปากล่างห้อย ”
- บริเวณ “ แก้ไขร่องแก้มลึก ”
- บริเวณ “ คาง ”
การทํา Hifu และการ ร้อยไหม (Thread lift) เหมาะกับใครบ้าง ?
จะเห็นว่าการทํา Hifu และการ ร้อยไหม (Thread lift) มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป
สําหรับการทํา Hifu จะเน้นในเรื่องของการยกกระชับใบหน้า ให้เต่งตึง ปรับรูปหน้าให้เรียววีเชฟ เป็นวิธีการยก กระชับ ที่จะเจ็บน้อยกว่าและไม่ทิ้งรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถไปทํางานต่อได้ทันที เหมาะสําหรับผู้ที่ไม่มีปัญหา ผิวหน้ามากนัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคือสาวๆที่อยู่ในช่วงวัย 25-45 ปี
ส่วนการร้อยไหม (Thread lift) นั้นจะเหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากกว่า หรือเริ่มเห็นริ้วรอยได้ ชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในวัยกลางคน 35-60 ปี
แต่หากเราวิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสียแบบ สรุปคือ
HIFU เน้นในเรื่องของการยกกระชับ ที่ไม่ใช้เข็ม เหมาะมากสําหรับสาวๆ ที่กลัวเข็ม และเมื่อทําแล้ว ไม่มีแผล ไม่ต้อง มีพักฟื้นใด ๆ แต่อยู่ได้ไม่นาน ส่วนร้อยไหม เป็นกระบวนการลดความความหย่อนคล้อยของใบหน้า ให้หน้าดูเต่งตึง และอยู่นานกว่า ยกกระชับมากกว่าแต่อาจจะมีบวมช้ําได้บ้าง หรือมีรอยเขียวช้ํา บวม อาจจะต้องรอเวลาการเซตตัว นานกว่าหน่อย
ข้อสรุป เลือกแบบไหนดีกว่ากัน ต้องบอกว่าไม่มีแบบไหนดีกว่ากัน แต่แบบไหนที่เหมาะกับเรามากกว่ากัน มากกว่า ซึ่งการพิจารณานั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาแต่ละบุคคล ทั้งอายุ วัย การดูแลตัวเอง ความต้องการ ต้องพิจารณา ประกอบกัน ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทําทุกครั้ง เพื่อรับทราบปัญหาและการแก้ปัญหา รวมถึงผลกระทบที่อาจจะ เกิดขึ้นได้ ข้อดี ข้อเสีย เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ใครที่อยากจะทําสวย ด้วยการยกกระชับปรับรูปหน้าที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง เด็กเด้งอีกครั้ง สามารถเข้ามา ที่ Amitalia Clinic ได้เลยเรามีคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ที่จะคอยให้คําแนะนําและปรึกษาอย่างละเอียด
โดย admin | ส.ค. 3, 2021 | สาระน่ารู้, Laser
Laser IPL vs Q-Switch ต่างกันอย่างไร
IPL คืออะไร ?
IPL เป็นเทคโนโลยีแสงที่มีช่วงคลื่นแสงกว้าง ถูกปล่อยออกมาหลายๆช่วงพร้อมกัน คลื่นแสงจะจับกับเม็ดสี ผิวสีดําหรือสีเข้มแล้วสลายออก ซึ่งสามารถรักษาปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง การรักษาด้วย IPL ไม่เสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้ และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้กับ กับใบหน้า, หน้าอก และมือ แต่จะไม่เห็นผลชัดเจนในการรักษาครั้งแรก ดังนั้นจึงควรรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง.
IPL ใช้ในการรักษา
- รักษากระตื้นและรอยดํา
- รักษารอยด่างดํา รอยแดง และสิวอักเสบ
- กระตุ้นให้ผิวชั้นกลางสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้น
- ลดรอยแดง เส้นเลือดแดงฝอยเล็ก ๆ ให้หดเล็กลง
- ปรับผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
- ปรับสภาพสีผิวให้สม่ําเสมอ ลดความหมองคล้ํา ผิวขาวใสขึ้น
- ใช้กําจัดขนส่วนเกินบริเวณหน้าแข้ง, รักแร้, และหนวด
ขั้นตอนการรับการรักษา ขณะทําการรักษาด้วย IPL จะรู้สึกเหมือนถูกหนังยางดีดเบา แต่ ไม่ทําให้เจ็บปวดจึงไม่ จําเป็นต้องใช้ยาชา แต่เพื่อป้องกันความร้อนในบางจุดที่มีเม็ดสีผิวเข้มกว่าบริเวณอื่น จึงใช้เจลชโลมตรงบริเวณที่จะทํา การรักษาก่อน ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บ และสวมแว่นดําเพื่อป้องกันแสงสว่างที่เกิดจากเครื่อง IPL
ซึ่งก่อนและหลังทํา Laser IPL ควรดูแลตัวเองอย่างไร
Q-Switch คืออะไร
Q-Switch เป็นเทคโนโลยีแสงที่เป็นคลื่นเดียว หรือช่วงคลื่นแคบ มีความเข้มข้นสูง เหมาะกับการใช้สําหรับ รักษาปัญหาเฉพาะจุด และช่วยลดการสร้างเม็ดสี โดยให้ลําแสงเลเซอร์ออกมา 2 ชนิด เลเซอร์ชนิดแรกจะทําลายเม็ด สีที่อยู่ในชั้นตื้น เช่น ฝ้า กระ ส่วนเลเซอร์ชนิดที่ 2 จะทําลายเม็ดสีของผิวหนังชั้นล่าง เช่น กระลึก แผลเป็น รอยสัก เป็นต้น โดยไม่ทําให้ผิวด้านบนเสียหาย ถ้าใช้ทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน จะให้เลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงของสีผิว ทําให้ผิวหน้าขาว อมชมพู และยังเรียบเนียนขึ้น ครั้งแรกจะเห็นผลได้ดี 80% และควรยิงอย่าง น้อย 3 ครั้งถึงจะเห็นผล หรือตามคําแนะนําของแพทย์
Switch Laser ใช้ในการรักษา
- กําจัดกระตื้น กระลึก ฝ้า ไฝ และปานดํา
- ช่วยกระชับรูขุมขน
- ลดรอยสิว
- ลดรอยแผลเป็น
- ลดรอยสัก
- ปรับสภาพสีผิวให้ขาวเรียบเนียนขึ้น
ซึ่งก่อนและหลังทํา Q-switch Laser ควรดูแลตัวเองอย่างไร
จากข้างต้นจะเห็นความแตกต่างของทั้ง IPL และ Q-Switch อย่างชัดเจน สรุปง่ายๆก็คือ
- IPL : จะครอบคลุมได้หลายปัญหาผิว ช่วยลดรอยแดงจากสิว กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และช่วยให้ใบหน้า กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
- Q-Switch : จะช่วยรักษาปัญหาเฉพาะจุด เช่น รอยดําจากสิว ฝ้า กระ ปานดํา หรือช่วยกระชับรูขุมขน
ขั้นตอนการรับการรักษา
- ทายาทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที – 1 ชม. แล้วยิง Laser ด้วยเครื่อง Q-Switch ซึ่งในขณะทําอาจมีอาการแสบ ร้อนบ้าง
- หลังจากการรักษา 4-5 วัน อาจมีรอยดําที่เข้มขึ้นหรือสะเก็ดในบริเวณที่ทํา ซึ่งรอยหรือสะเก็ดจะค่อย ๆ หลุด ออกภายใน 1-4 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับผิวของบุคค) หลังจากนั้นผิวในบริเวณนั้นจะกระจ่างใสขึ้น.
ระยะเวลาในการรักษาด้วย IPL and Q-switch Laser
ใช้เวลาในการรักษาตั้งแต่ 15-30 นาที (ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทําการรักษา) และควรเข้ารับบริการ 3 – 6 ครั้งขึ้นไป
ผู้ที่ห้ามทําการรักษา
- ไม่เหมาะกับผู้หญิงที่กําลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ให้ละเอียดก่อนการรักษา
- คนที่แพ้แสง
- คนที่เป็นคีลอยด์ง่าย ๆ อาจต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ
- คนที่มีแผลสด
- ผู้ที่อาบแดดหรือผิวไหม้แดดมาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ไม่สามารถทําการรักษาได้ด้วย IPL เพราะอาจทําให้ผิวไหม้ ได้
โดย admin | ส.ค. 3, 2021 | สาระน่ารู้, Botox, Fat, Meso
Meso fat vs Botox ต่างกันอย่างไร
วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยกัน!Meso fat vs Botoxต่างกันอย่างไร ?
การแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้า หรือการปรับแต่งให้ดูดีสมส่วนมากขึ้นนั้น บางครั้งอาจต้องพึ่งเทคนิคมากกว่าหนึ่งเหมาะสม เช่นเดียวกันอย่าง แน่นอนว่าเราเองคงกําหนดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ในการเลือกวิธีที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการอยากมีใบหน้าที่เรียวเล็กได้รูป นวัตกรรมความงามที่มีหลายรูปแบบ ทําถามในใจว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้ตามที่คาดหวัง ส่วนใหญ่ที่นิยมคือ การฉีด Meso Fat และBotox แม้จะทําเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือปรับรูปหน้า แต่มีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกันวันนี้ Amitalia clinic จะพามาดูกันว่าสองเทคนิคนี้แตกต่างกันอย่างไร
มาทำความรู้จักกับ Meso Fat และ Botox กันซักนิด
MesoFat
คือการฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายไขมันส่วนเกินและเซลลูไลต์ จะทำการฉีดเข้าสู่ผิวหนังลึกเข้าไปในชั้นไขมัน สารเหล่านี้เป็นสารสกัดจากถั่วเหลืองหรือไข่แดง และวิตามินอีกหลายชนิด ทำหน้าที่ให้ไขมันที่จับตัวเป็นก้อนและตัวกลายเป็นไขมันเหลว ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ รวมทั้งยังสกีดกั้นการสะสมของไขมัน ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและระบบต่อมน้ำเหลืองทำงานสะดวกมากขึ้น เนื้อเยี่อบริเวณรอบๆ จึงมีความแข็งแรงและกระชับขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างเนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ สามารถย่อยสลายออกจากร่างกายได้หลังการฉีดจะเห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับไขมันที่สะสมอยู่บริเวณที่ฉีดว่ามีมากน้อยเพียงใด
Botox
คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxin Type A เป็นโปรตีนสกัดได้จากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ในแต่ละประเทศที่ใช้ก็จะมียี่ห้อต่างกัน เช่น อังกฤษก็จะใช้ชื่อ Dysport เกาหลีก็มีหลายยี่ห้อแต่ที่คุ้นกันในบ้านเราเช่น Neuronox Botulax หรือ Nabota ด้วยคุณสมบัติในการออกฤทธ์ที่ส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดนั้นมีการคลายตัว ลดการหดเกร็ง ผิวหนังด้านบนจึงดูเรียบขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยของใบหน้าชั่วคราว
นิยมทำเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น หางตาตก คิ้วตก ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามในการปรับเปล่ียนรูปหน้าให้เรียวสวย
จะเริ่มเห็นผลหลังฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ สามารถอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
สรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือ Meso Fat เป็นการฉีดสลายไขมันส่วน Botox ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดริ้วรอย สำหรับการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวมาบางคนอาจใช้แค่วิธีเดียว หรือใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันไป ปริมาณสารที่ฉีดเข้าไปก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลเช่นกัน
ส่วนไหนบนใบหน้าที่มักพบปัญหา จะใช้วิธีใดแก้ไขได้อย่างตรงจุ
กระดูกช่วงกราม
ถ้ากระดูกกรามใหญ่ขนาดของใบหน้าก็จะดูใหญ่ไปด้วยนี่คือโครงหน้าที่มีมาตั้งแต่เกิดทั้งMeso Fat และ Botox ไม่ช่วยอะไร กรณีนี้ต้องปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งเท่านั้น
กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคี้ยว
เป็นอีกส่วนที่ทําให้ใบหน้าดูใหญ่วิธีสังเกตคือลองกัดฟันให้แน่นแล้วเอามือสัมผัสดูส่วนที่นูนขึ้นมานั่นก็คือกล้ามเนื้อนี่เองและการปรับแต่งรอบๆกรอบหน้าให้ดูเข้ารูปซึ่งBotox จัดการกับเรื่องนี้ได้
แก้ม
ใบหน้าที่ดูอวบอิ่มไม่ว่าจะเป็นตามธรรมชาติหรือทานเยอะเกินไปหน่อยตรงส่วนนี้คือบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่ช่วงวัยเด็กแก้มป่องๆก็ดูน่ารักดีแต่เมื่ออายุมากขึ้น ทุกอย่างเริ่มหย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แก้มใหญ่ย้อยจึงเป็นปัญหาหนักใจของใครหลายคนรวมไปถึงไขมันใต้คางหรือที่เรียกว่าเหนียงนั้นเองกรณีเช่นนี้Meso Fat สามารถช่วยได้
ทั้งสองวิธีนี้เหมาะกับกลุ่มช่วงอายุน้อยกว่า 30ปี ไปจนถึงมากกว่า 40ปีสําหรับคนที่อายุน้อยถ้าไขมันสะสมไม่เยอะ อาจไม่จําเป็นต้องทําการสลายไขมันก็ได้ นอกจากนี้ยังนิยมฉีดบริเวณอื่นอีกด้วยเช่น น่อง สามารถฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกล้ามเนื้อบริเวณน่องให้ดูฟีบลงขาจึงดูเรียวยาว ฉีดเมโสแฟตเป็นการลดสัดส่วนเฉพาะจุด แต่อาจต้องทําร่วมกับวิธีอื่นๆ รวมถึงต้องควบคุมอาหารและออกกําลังกาย เพื่อขจัดไขมันเก่าและลดโอกาสการสะสมของไขมันใหม่
การสรรหาสุดยอดเทคนิคในการดูแลตนเองให้ดูดีอย่างสมํ่าเสมอถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมคํานึงถึงความปลอดภัยของสารที่ใช้ฉีดต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาซึ่งแน่นอนว่าที่ Amitalia clinic เรามีทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์และตัวยาผ่านการรับรองจาก อย.
เห็นมั้ยหล่ะคะว่าการทําความเข้าใจถึงข้อแตกต่างของmeso fat vs botoxนั้นไม่ได้ยากเลย ทีนี้ ทุกคนก็คงจะตัดสินใจกันได้แล้วใช่มั้ยหล่ะคะว่า ใบหน้าของเรา เหมาะกับการทําหัตถการแบบไหน จะ Botox หรือ Meso Fat
หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติม สามารถมาที่ Amitalia clinic ได้เลยคุณหมอของเรายินดีให้คําปรึกษาและแนะนํา รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
โดย admin | ส.ค. 2, 2021 | สาระน่ารู้, Filler
SKIN BOOSTER คืออะไร ช่วยอะไรผิวบ้าง
SKINBOOSTERคือ การเติมสารกระตุ้นและฟื้นฟูผิว ปรับให้ผิวอ่อนเยาว์ ชะลอริ้วรอย เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ปกป้องผิวจากมลภาวะ และช่วยให้การทํางานของเซลล์ต่างๆในผิวหนังทํางานได้อย่างปกติโดย คุณสมบัติของ SKIN BOOSTERนั้น จะมีดังนี้
- ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน ทําให้คอลลาเจนมีการจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ และช่วยปกป้องการทําลายของคอลลาเจน
- ช่วยลดการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังจากการแสดงสีหน้า ด้วยการยับยั้งการหลั่งสาร Acetylcholine และเพิ่มการหลั่งสาร Catecholamine ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย
- ช่วยปรับผิวให้เปล่งปลั่ง ยกกระชับ เต่งตึง และกระจ่างใส
SKINBOOSTER เหมาะกับใคร
SKIN BOOSTER เหมาะสําหรับ
- ผู้มีปัญหาริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน
- ผู้มีปัญหาผิวหมองคลํ้า จุดด่างดํา จากความเสื่อมของผิวจากมลภาวะและแสงแดด
- ผู้มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง
- ผู้มีปัญหารอยหลุมสิว จุดด่างดําจากสิว
SKINBOOSTER เห็นผลลัพธ์เมื่อไรควรทําบ่อยแค่ไหน
หลังการรักษาด้วย SKIN BOOSTER ะจเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน1สัปดาห์ และจะอยู่ได้นาน 1เดือน
แนะนําให้รับการรักษา ทุก 1เดือน ใน 4ครั้งแรก และต่อไปทุก3เดือน
แนะนําให้รับการรักษาทุก 1เดือนสําหรับ
- ผู้ที่มีภาวะหมดประจําเดือน
- ผู้ที่สัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานหรือสัมผัสมลภาวะบ่อย
- ผู้ที่ต้องการรักษารอยหลุมสิว
คําแนะนําก่อนและหลังการรักษาSKINBOOSTER
ก่อนการรักษา 1 สัปดาห์ : ควรงดอาหารเสริมในกลุ่ม นํ้ามันปลา วิตามินอี สารสกัดจากใบแปะก๊วย และยาแก้ปวดในกลุ่ม
Aspirin และ NSAID
หลังการรักษา
1.งดการล้างหน้า หรือแต่งหน้า 4ชั่วโมงหลังการรักษา
2.ควรดื่มนํ้าเปล่าอย่างน้อยวันละ 8แก้ว
3.สามารถทาครีมบํารุงได้ในวันถัดไปหลังการรักษา
4.งดการนวดหน้า ขัดหน้า 2สัปดาห์
สำหรับใครที่มีปัญหาจากที่กล่าวมาข้างต้น มาที่Amitalia clinic ด้วยคุณหมอที่ฝีมือดีที่สุดแะลตัวยาที่คุภณาพเยี่ยมผ่าน
การรับรองจาก อย.รับรองว่าคุณจะสวยปิ๊งกลับไปแน่นอน
โดย admin | ส.ค. 2, 2021 | สาระน่ารู้, Filler
รักษาใต้ตาคล้ำ ควรใช้ Filler หรือ Filorga Nctf ดีกว่า??
หลายๆคนเริ่มมีคำถามว่าจะแก้ใต้ตาดำ หมองคล้ำสามารถทำยังไงได้บ้าง? ฉีดอะไรดี ฉีดอะไรเหมาะ วันนี้ Amitalia
clinic มีคำตอบ!
มาเริ่มที่ความแตกต่างระหว่าง Filorga Nctf กับ Filler กันเลย…
Filorga คืออะไร?
มารู้จัก Filorga กันบ้าง ตัวนี้ก็เป็นการฉีด Hyaluronic acid หรือ HA เหมือนกันแต่จะเป็นแบบเหลว และมีส่วนผสม
ของวิตามินอื่นๆ ที่ไปช่วยบำรุงในส่วนต่างๆ มีคุณสมบัติฟื้นฟูบำรุงมากกว่าเติมเต็ม แต่ถ้าฉีดเยอะพอก็เติมเต็ม ได้
เช่นกัน แต่ด้วยความเป็นของเหลวก็จะอยู่ได้สั้นกว่า Filler
Filler คืออะไร?
ทุกคนน่าจะคุ้นหูกันบ้างแล้ว สำหรับตัว Filler เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ที่นิยมฉีดกันทั่วไป ใช้ฉีดลด
ริ้วรอย ปรับรูปหน้า ซึ่งมีแบบชนิดนิ่มกับ แบบชนิดแข็ง มีอีกหลายยี่ห้อมาก ของแต่ละประเทศราคาก็จะแตกต่างกัน
ไป ส่วนอีกตัวจะเป็นการฉีดไขมัน ตัวนี้จะได้ในส่วนของการบำรุงมาด้วย ความเสี่ยงน้อย เพราะเป็นไขมันตัวเอง แต่
ระยะเวลาก็จะอยู่ได้สั้นกว่าฟิลเลอร์มาก เพราะไขมัน มันมีสิทธิ์สลายได้ไวกว่าเยอะมาก แค่เหงื่อออกก็สลายแล้ว ก็
เหมือนไขมันในส่วนอื่นๆ ของร่างกายถ้าออกกำลังกายไขมันก็มีสิทธิ์สลายเหมือนกันค่ะ
- ตัวฟิลเลอร์จะเหมาะกันฉีดเติมเต็มเฉพาะจุด ลดริ้วรอยโดยตรง แต่จริงๆ ก็ฉีดได้ทั้งหน้า ราคาต่อ CC สูงกว่า แต่อยู่
ได้นานกว่า 8 เดือน – 1 ปี - ตัวไขมันจะเหมาะกับฉีดปรับรูปหน้า ฉีดให้หน้าดูเต็มดูเด็กลง แต่จะอยู่ได้ระยะสั้นว่าฟิลเลอร์ แล้วแต่การดูแลด้วยค่ะ
(ท้้ง สองจุดประสงค์คล้ายกัน แต่ต่างกันทั้งผลลัพธ์การสลาย โดยฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ดีกว่า)
และถ้าฉีดเพื่อแก้ใต้ตาดำคล้ำ ตาโบ๋ลึก ควรใช้อะไรดีกว่า?
Filler เหมาะกับเติมเต็มผิว ถ้าใครใต้ตาลึก แนะนำเป็นการฉีด Filler ผลที่ได้ก็คือช่วยลดใต้ตาคล้ำได้เหมือนกัน แต่
ไม่ได้บำรุงผิวอะไรมาก แต่ตัว HA มีคุณสมบัติทำให้ผิวชุมชื่นอยู่แล้ว พอบำรุงบ้างนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ดี Filler
เหมาะกับเติมเต็มมากกว่า
แล้วถ้าใต้ตาคล้ำอย่างเดียวตาไม่ลึก ก็ควรใช้ Filorga เพราะเน้นบำรุงมากกว่า แถมฉีดได้ทั่วหน้า ทำให้ผิวฟู เด้ง
นอกจาก HA แล้วเค้ายังมีวิตามิน 14 ชนิด เช่น วิตามินเอ บี ซี และ อี ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างการทางาน
ของเซลล์ กรดอะมิโน 24 ชนิด ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนที่จะช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน
เพิ่มขึ้น สารแอนติออกซิแดนท์ 2 ชนิด ที่จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ สำหรับใครเน้นใต้ตาดำแต่ไม่ลึก แนะนำให้ ฉีด
Filorga
จากบทความข้างต้น หากคุณลูกค้าท่านไหนไม่ใจว่าใต้ตาลึกแค่ไหนถึงฉีดได้ หรืออยากให้คุณหมอช่วยประเมิณ เชิญ
ที่ Amitalia clinic ได้เลยค่ะ เราพร้อมดูแลคุณ และแน่นอนว่า ไม่ว่าจะ Filler หรือ Filorga ที่คลีนิกของเราใช้ของแท้
ได้รับรองจาก อย.