ยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคนิค ร้อยไหม PDO Thread Lift

ร้อยไหม PDO Thread Lifting เทคนิคนี้เป็นการช่วยให้ใบหน้าดูตึงกระชับ ไม่หย่อนคล้อย มีรูปหน้าเรียวและดูอ่อนกว่าวัย  ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัดทำศัลยกรรม ทั้งนี้ PDO Thread Lift จัดเป็นกรรมวิธีหนึ่งที่นำมายกกระชับหน้าที่เห็นผลเร็ว ช่วยให้รูปหน้าเรียวกระชับขึ้นหลังทำ ด้วยโครงสร้างของ Thread ที่มีตัวยึดจับเนื้อเยื่อที่มีความจำเพาะ อีกหนึ่งทางเลือกของการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และให้ผลลัพธ์นานประมาณ 1-2 ปี

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?   

ก่อนการทำ  PDO Thread lift แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะทำและฉีดยาชาเฉพาะบริเวณร่วมด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นกับประเภทของ Thread และจำนวนเส้นไหม หลังการทำ Thread lift อาจเกิดการบวมช้ำเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติ ประมาณ 3-4 วัน รอยบวมช้ำจะจางหายไป

การเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วย Thread lift

หยุดใช้ยาและสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1- 2 สัปดาห์

PDO Thread lift มีความปลอดภัยแค่ไหน?

PDO Thread (เส้นไหม) จะเป็นไหมละลายที่เรียกว่า  PDO ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ใช้ในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจมานานหลายปี มีความปลอดภัยสูง ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวหนังรอบข้าง โดยเส้นไหมที่ใช้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันจึงมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น เล็กลง ยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ที่สำคัญเส้นไหมจะสามารถย่อยสลายไปเองในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน และซิลิโคนที่ใช้ในกลุ่มไหมบางประเภท (เช่น ข้อ 4 ข้อ 5 และข้อ 6) ก็เป็น medical grade silicone ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในวงการแพทย์ และวงการศัลยกรรมอย่างแพร่หลาย มีความปลอดภัย สำหรับการทำ Thread Lift จะร้อยลงไปในชั้นไขมัน จึงไม่สร้างความเสียหายให้ผิวส่วนบนแต่อย่างใด

ประโยชน์และข้อดีของ Thread lift

– กระตุ้นการสร้างคอลาเจนใต้ผิว ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง

– ช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิว

– ปรับหน้าให้เรียวขึ้น

– ช่วยปรับรูปจมูกให้ได้รูปตามต้องการ

– ช่วยยกหางตาตก ปรับแนวคิ้ว ยกมุมปากตก เสริมคางให้เรียว

– ช่วยให้การไหลเวียนพลังงานและโลหิตดีขึ้น

การดูแลหลังการรักษา

1. ยังคงต้องงดการใช้ยาและสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดต่อไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์

2. หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนท์ผิวหน้าทุกชนิดเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

3. งดทายาหรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือกรดวิตามินเอ ประมาณ 2 สัปดาห์

5. สามารถล้างหน้า แต่งหน้าได้ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และวันรุ่งขึ้นก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรขยี้หน้า หรือถูหน้าแรงๆ

เปิดโพลลับกับเหตุผลที่ว่าทำไมใครๆ ก็ชอบทำ “ IPL”

นอกจากการทำเลเซอร์เพื่อลดปัญหาริ้วรอย สิว ฝ้า ช่วยให้หน้าขาวใสแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาผิว อย่าง IPL ก็ถือว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แล้วเพราะอะไรที่ทำให้ IPL กลายเป็นทางลัดสู่ความสวยในใจของใครหลายๆ คน เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน!

IPL(Intensive Pulsed Light) คือแสงที่มีช่วงคลื่นแสงกว้าง ความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 นาโนเมตร ถึง 1,200 นาโนเมตร ซึ่งนับเป็นคลื่นแสงหลากหลายความถี่จึงรักษาปัญหาผิวหน้าได้ครอบคลุมมีประโยชน์ทั้งในด้านการลบริ้วรอย จุดด่างดำ และและรอยแดงต่าง ๆ จะใช้ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน อีกทั้งยังสามารถกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ คลื่นแสง IPL จะกระจายตัวมากกว่าแสงเลเซอร์ และซึมเข้าไปยังชั้นผิวหนังแท้โดยไม่ทำลายหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอก ส่งผลให้ผิวหนังถูกทำลายน้อยกว่าการทำเลเซอร์ที่ยิงแสงออกมาเพียงช่วงความถี่เดียว IPL ใช้รักษาปัญหาผิวได้สารพัด ส่วนมากแล้ว IPL จะเน้นใช้รักษาปัญหารอยแดง รอยดำ หรือจุดด่างดำที่เกิดจากสิวเป็นหลัก รวมทั้งใช้ในการรักษาปัญหาผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย รูขุมขนกว้าง หรือปรับสภาพสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูขาวใสขึ้นได้

การปรับสภาพผิวแบบไม่มีแผลด้วย IPL ร่อยย่น ผิวบาง รอยดำ กระ เม็ดสีไม่สม่ำเสมอ หรือเส้นเลือฝอยขยาย เป็นลักษณะการแก่ของผิวซึ่งเกิดจากแสงแดดและปัจจัยภายนอกอื่นๆIPL เป็นเครื่องที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาเพื่อทำให้ผิวอ่อนเยาว์ด้วยแสง (Photorejuvenation) เนื่องจากรักษาได้ทั้งความผิดปกติของเส้นเลือด เม็ดสี และความร้อนทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ จากการวิจัย ยังพบว่านอกจากสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ยังพบว่าการสลายของคอลลาเจนลดลงด้วย

อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของ IPL คือสามารถรักษาโรคทางผิวหนังได้

1.ช่วยลดรอยสิว รอยดำ จุดด่างดำ ฝ้า และกระบางชนิด

2.ช่วยลดรอยแดงต่าง ๆ เช่น รอยแดงจากสิว และรอยแดงจากแผลเป็นนูน

3.ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ

4.กระชับรูขุมขน

5.กำจัดขน

6.รักษาสิว โดยทำร่วมกับการทาสารบางชนิดในการฆ่าเชื้อสิว

7.ปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ

8.ลดความหมองคล้ำ ผิวกระจ่างใสขึ้น

9.รักษารอยโรคของเส้นเลือด เช่น ปานแดงตั้งแต่กำเนิด, จุดเส้นเลือดขอด

IPL ใช้เวลาไม่นาน…ก็สวยได้ ในการทำ IPL จะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยทั่วไปจะเห็นผลเร็วหลังจากทำเพียง 1-2 ครั้ง และกลับมาทำซ้ำอีกทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดูแลผิวหลังทำ IPL ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด หลังการทำ IPL ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ บริเวณที่ทำ พร้อมกับทาครีมบำรุงผิวที่มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ

โบท็อกเกาหลี ดีไหม ?

โบท็อกเกาหลีมีหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองและจดทะเบียน อย. อย่างถูกต้อง แต่ที่ได้รับความนิยม คือ ยี่ห้อ Botulax และ Nabota ซึ่งถูกนำมาใช้ในหลายคลินิก และหากเปรียบเทียบราคากับโบท็อกจากฝั่งอเมริกาจะเห็นว่าราคาถูกกว่ามาก สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าได้อย่างเห็นผล

โบท็อกซ์เกาหลี คืออะไร?

โบท็อกซ์เกาหลี คือ ชื่อทางการค้าของสารสกัด “Botulinum toxin A” จากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “Clostridium botulinum” ซึ่งผลิตในประเทศเกาหลี และได้รับความนิยมจนขายดีติดอันดับมาอย่างยาวนาน โบท็อกซ์เกาหลีมีคุณสมบัติเพื่อสำหรับเสริมความงามในการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย รอยย่นบริเวณหางตา หน้าผาก กระชับผิว และกรอบหน้า ให้กรอบหน้าชัด ผิวสวยเต่งตึง รูขุมขนดูตื้นขึ้นจนสัมผัสได้

โบท็อกซ์เกาหลีต่างจาก ยี่ห้ออื่น ๆ ตรงที่มีการกระจายตัวของยาแคบ ควบคุมการฉีดได้ตรงจุด และแม่นยำ อีกทั้งยังมีการวิจัยรองรับว่ามีคุณภาพและปลอดภัย มีความบริสุทธิ์ของสารถึง 98-99% ที่สำคัญคือราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่นอีกด้วย แถมยังมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 เดือน หรือยาวนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว วิธีการดูแลและการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลด้วย

โบท๊อกซ์เกาหลี ใช้ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

สามารถฉีดได้หลายจุด ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยสามารถฉีดได้ในบริเวณดังต่อไปนี้

  • หน้าผาก เพื่อแก้ไขรอยเหี่ยวย่นจากการขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เกาหลีบริเวณหน้าผากจะอยู่ได้นานกว่าส่วนอื่น ๆ เพราะไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก
  • ระหว่างคิ้ว รอบดวงตา และหางคิ้ว เพื่อลดรอยย่น รอยตีนกา และแก้ปัญหาหางคิ้วตก
  • โหนกแก้ม เพื่อช่วยให้โหนกแก้มเล็กลงได้
  • ปีกจมูก เพื่อให้จมูกได้รูป และไม่บานออกเวลายิ้ม
  • ปาก เพื่อลดริ้วรอย และแก้ไขมุมปากที่คว่ำ
  • คอ เพื่อให้คอเรียว ไม่ดูตัน
  • รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ สำหรับคนที่เหงื่อออกเยอะ
  • น่อง เพื่อให้น่องเรียวเล็ก สวย ไม่ดูเป็นก้อนแข็ง

การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์เกาหลี

  • หลังฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ควรเคี้ยวหมากฝรั่งต่อเนื่อง 30 นาที เพื่อให้ตัวยาทำงานได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการนวดหน้าประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีดโบท็อกซ์
  • ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อน ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
  • ไม่ควรไดร์ผมใกล้บริเวณที่ Botox
  • ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรงดการอบไอน้ำ อบซาวน่า ยิงเลเซอร์ ทำ RF เพราะการสัมผัสความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อโบท็อกซ์ได้

ทำไม Botox เกาหลี ถึงฉีดแล้วดีกว่า Botox ยี่ห้ออื่น

ปัจจุบันมีโบท็อกซ์ให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อจากหลายประเทศ หนึ่งในประเทศที่ทำโบท็อกซ์ออกมาได้โดดเด่นและคลินิกชั้นนำในไทยนิยมใช้คือ “โบท็อกซ์เกาหลี” เพราะตัวยามีคุณภาพ ราคาจับต้องได้ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพราะมีค่าความบริสุทธิ์ในตัวยาที่สูงมาก ฉีดแล้วจึงเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สามารถอยู่ได้นานกว่าโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่น และมีความปลอดภัยสูง ฉีดแล้วหน้าปังไม่มีพังแน่นอน !

ซึ่งโบท็อกซ์เกาหลีมีจุดเด่นมากๆที่แตกต่างจากโบท็อกซ์ยี่ห้อ คือ เห็นผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดค่อนข้างเร็ว โดยการฉีดโบท็อกซ์เกาหลี เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2 วัน ในขณะที่โบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นๆ จะเห็นผลลัพธ์ภายใน 5-7 วัน และการฉีดโบท็อกซ์เพื่อปรับรูปหน้า ลดขนาดกราม โบท็อกซ์เกาหลีจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงไปภายใน 10-14 วัน ในขณะที่โบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นๆ จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือน

อีกทั้งโบท็อกซ์เกาหลียังโด่งดังเรื่องความบริสุทธิ์ซึ่งได้พัฒนาตัวยามานานกว่า 30 ปี จนคิดค้นเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะในการผลิตโบท็อกซ์ ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% และยังเป็นโบท็อกซ์เกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา จึงมั่นใจได้ว่าฉีดแล้วปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายแน่นอน

จุดเด่นของ BOTOX เกาหลีที่ BOTOX ตัวอื่นไม่มีในจุดนี้

1. ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% ซึ่งถือเป็นโบท็อกซ์ที่มีค่าบริสุทธิ์สูงที่สุดในปัจจุบัน

2.เห็นผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดค่อนข้างเร็วกว่ายี่ห้ออื่น เช่น BOTOX เกาหลีเพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าจะเห็นผลภายใน 2 วัน ในขณะที่โบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นจะเห็นผลภายใน 5-7 วัน

3.ฉีดแล้วหน้าจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งเกินไป เพราะในตัวยามีค่าความบริสุทธิ์ที่สูงมาก

4.ในตัวยามีค่าความบริสุทธิ์ที่สูงมาก ทำให้มีโอกาสดื้อโบท็อกซ์น้อยกว่ายี่ห้ออื่น

5.ตัวยาได้รับการยอมรับว่า มีความปลอดภัยสูง ไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตราย และนิยมใช้กันทั่วโลก

ใครที่ยังลังเลว่าจะเลือกโบท็อกซ์เกาหลีดีไหม ? บอกเลยว่า BOTOX เกาหลีถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีค่าความบริสุทธิ์ที่สูงมากในตัวยา ฉีดแล้วจึงเห็นผลเร็ว หน้าดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน ทั้งนี้ก่อนจะฉีดโบท็อกซ์ทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์และเลือกฉีดในคลินิกที่มีมาตรฐานและมีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และต้องดูแลตัวเองให้ดีหลังฉีดโบท็อกซ์ด้วย

สรุป

BOTOX เกาหลี ราคาไม่เเรงเท่ายี่ห้ออื่น เเต่คุณภาพมาเหนือเเบนด์อื่นๆแบบสุดๆ ซึ่งส่งตรงจากประเทศเกาหลี ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของยี่ห้อนี้  ทำให้ได้โบท็อกซ์มีความบริสุทธ์สูง ตัวยาออกฤทธิ์เร็วเเละมีโอกาสดื้อยาน้อย ส่วนในเรื่องของความอ่อนโยนและความบริสุทธิ์ หลังฉีดไปใบหน้าไม่แข็งตึงเเสดงสีหน้าได้เป็นปกติ เรียกได้ว่าได้ของดีในราคาถูก คุณภาพคับกระเป๋ากันเลยทีเดียว

ทำความรู้จักกับ Q-switch เลเซอร์ ทางลัดสู่ผิวสวย

Q-switched เป็นการลบรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำด้วยการใช้คลื่นแสง เมื่อทำแล้วจะส่งผลให้ลดการสร้างเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ผิวที่สร้างใหม่นั้นจะแลดูกระจ่างใส อ่อนวัย มีความนุ่มและเรียบเนียน และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะต้องทำประมาณ 3 – 6 ครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความตื้นลึกของเม็ดสีของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน

Q-switch เหมาะกับใคร

Q-switch เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ รอยแดง รอยดำจากสิว รอยแผลเป็น หรือ ต้องการที่จะลบรอยสัก นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาผิวในข้างต้นได้แล้ว Q-switch ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวเนียนใส และกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ที่มีสิวอักเสบไม่ควรรับบริการ Q-switch เพราะอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบมากกว่าเดิม

วิธีการทำงานของ Q-switched

ก่อนการทำ Q-switched จะต้องทายาทิ้งไว้ประมาณ 40 – 60 นาที จากนั้นทำการยิงเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 10 – 30 นาที ซึ่งอาจจะมีอาการแสบร้อนบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นอาจมีผิวหน้าแดงบ้าง โดยพลังงานแสงที่ปล่อยออกมาจะทำให้เม็ดสีในบริเวณที่กำจัดนั้นแตกตัวออก ต่อจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะดูดซึมเม็ดสีเหล่านี้และย่อยสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ แล้วจะถูกกำจัดด้วยการขับเป็นของเสียออกจากร่างกาย

Q-switch ใช้บริเวณไหน?

Q-switch นิยมใช้บริเวณใบหน้า และส่วนอื่นที่มีปัญหาผิว สำหรับการทำ Q-switch จะใช้เวลาทำประมาณ 1  ชั่วโมงครึ่ง แบ่งเป็นเวลาในการทายาทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที – 1 ชั่วโมง และการยิงเลเซอร์ 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ โดยขณะที่ทำผู้รับบริการอาจมีอาการแสบร้อนตรงบริเวณที่รักษาบ้าง แต่จะดีขึ้นหลังจากรักษาเสร็จ

การทำ Q-switched ครั้งแรกมักได้ผลประมาณ 80 % แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะต้องทำประมาณ 3 ครั้ง โดยเว้นห่างกันครั้งละ 3 – 6 สัปดาห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ผิวหนังที่เป็นผู้วางแผนการรักษา และหลังการทำอาจเกิดเป็นสะเก็ดเล็กๆ หรือรอยดำในบริเวณที่ทำ แต่จะหลุดออกจนหมดภายใน 1 – 2 สัปดาห์

ผลลัพธ์หลังรักษา Q-switched

• รอยฝ้า กระ และจุดด่างดำบนใบหน้าลดลง

• แก้ปัญหารอยดำและรอยแดงจากสิว

• รักษารอยคล้ำบริเวณริมฝีปากให้จางลง

• ลบรอยสักคิ้วและรอยสักต่างๆ โดยลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉดสีและระยะเวลาในการสักของแต่ละบุคคล ซึ่งรอยสักที่แก้ไขได้ คือ สีดำ น้ำตาล และน้ำเงิน

• ทำให้ผิวใสขึ้นและสีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ

• ผิวขาวเนียนขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา และจะได้ผลชัดเจนขึ้นหลังทำไป 5-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล