ร้อยไหม TR LIFT

ร้อยไหมคืออะไร

การร้อยไหม คือ เทคนิคที่นํามาใช้ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูเรียว ด้วยไหมละลาย โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีต้นกําเนิดมาจากประเทศเกาหลี หลักการของเทคนิคนี้ คือ การใช้ไหมเส้นเล็กจํานวนมากมาร้อยเป็น เครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไปจะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทําให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทําให้เกิด การกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม มีผลให้เกิดการดึงรั้งผิวหน้า ทําให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย

ใครควรทําบ้าง

  • ผู้ที่ผิวหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่ต้องการรูปหน้าวี เชฟ แต่ไม่อยากผ่าตัด
  • ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
  • ผู้ที่มีปัญหาเนื้อแก้มตก แก้มย้อย

การร้อยไหม เหมาะกับคนที่อยากยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย รวมถึงช่วยลด ริ้วรอย โดยไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลรวดเร็วครับ ในการร้อยไหม จะมีจุดที่ดึงบริเวณแก้มส่วนล่างและจุดที่ยึดอยู่บริเวณขมับ ดึงเข้าหากันจึงสามารถดึงแก้มที่หย่อนขึ้นได้ทันที หลังการร้อยไหม จะทําให้ผิวบริเวณที่ร้อยไหมเข้าไป เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่ มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน และทําให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงชั้นผิวหนังมากขึ้น ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึงขึ้นอย่าง ชัดเจน

นอกจากนี้การร้อยไหม ยังสามารถทําร่วมกับหัตถการอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อก หรือ Hifu โดย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน

บริเวณที่นิยม “ ร้อยไหม ”

  • คิ้วตก หางคิ้วซุ้มลง สามารถร้อยดึงให้ยกขึ้นได้
  • ริ้วรอยรอบดวงตา หรือถุงใต้ตา สามารถร้อยจึงให้ตึงขึ้น
  • จมูกตุ้ม ก็จะร้อยปลายจมูกให้เด้งขึ้น
  • ริมฝีปากล่างห้อย สามารถร้อยไหมให้ยกกระชับขึ้น หรือแก้ไขมุมปากตกให้ยกกระชับขึ้น
  • แก้ไขร่องแก้มลึก แก้มย้อย ไม่มีโหนกแก้ม
  • แก้ปัญหาใบหน้าไม่ชัด คางสองชั้น

ไหมกี่ชนิด

ประเภทของส้นไหมที่ใช้ร้อยไหม สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ

ไหมไม่ละลาย

ทําจากพลาสติกหรือโลหะ ไม่สามารถละลายหายไปเองได้ เช่นไหมพลาสติกพอลิโพรไพลีน (Polypropylene) หรือ ไหมทองคํา (Gold Thread) แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงหลายอย่าง และในกรณีของไหมทองคําก็มีราคา สูง อาจเกิดอาการแพ้ และหลังทํายังไม่สามารถทําเลเซอร์หรือทรีทเม้นท์ที่ต้องสัมผัสความร้อนได้ด้วย

ไหมละลาย

เป็นไหมที่ผลิตจากสารสังเคราะห์ ที่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ วัสดุที่นิยมนํามาทําไหมละลายได้แก่ PD0 (Polydioxanone) PCL (Polycaprolactone) PLLA (Polylactate) และ PGA (Polyglycolic Acid) ซึ่งเราสามารถแบกประเภทของไหมละลาย ออกมาอีกได้หลายชนิด ได้แก่

ไหมเรียบ (Mono threads)

เป็นไหม PDO ลักษณะเส้นเรียบ ไม่มีเงี่ยงหรือเกลียว มักจะร้อยในชั้นตื้น ๆ โดยหวังผลในการสร้างคอลลาเจนมากกว่า อาการ บวมหลังจากการร้อยไหม ทําให้รู้สึกใบหน้าดูเต่งตึงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน เหมาะกับ คนที่ไม่มีปัญหาหย่อนคล้อยแต่ผิวไม่กระชับ

ไหมเกลียว (Screw threads)

เป็นไหม PDO ลักษณะเป็นม้วนคล้ายสปริง มีความแข็งแรงกว่าไหมเรียบ อาจเป็นเส้นเดียวหรือสองเส้นพันกัน เกลียวของไหม
ช่วยเพิ่มปริมาตรบริเวณที่ผิวหนังยุบเป็นแอ่ง และสามารถช่วยยกกระชับผิว เหมาะกับคนที่ผิวหย่อนคล้อยไม่มาก สามารถใช้ เสริมไหมตัวอื่นได้

ไหมเงี่ยง (Barbed threads หรือ Cog threads)

ลักษณะเป็นเส้นคล้ายก้างปลา ดึงผิวให้ยกขึ้นได้ดี ช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า มีหลายชื่อเรียก เช่น ไหมก้างปลา หรือไหมกุหลาบ เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหนังหย่อนยาน ในระดับอายุยี่สิบปลายๆ หรือต้องการปรับรูปหน้า สร้างวีเชฟ ยก เหนียง

ไหมปากฉลาม (Molding)

เป็นไหม PCL ที่มีเสี่ยงและลายสลัก พัฒนามาจากไหมเงี่ยง เพื่อให้เกาะกับผิวได้ดียิ่งขึ้น มักมีขนาดเส้นใหญ่กว่าไหมเงี่ยงทั่วไป เหมาะกับคนที่มีปัญหาหย่อนคล้อยเยอะ ตั้งแต่วัยสามสิบห้าเป็นต้นไป

ไหมกรวย (Silhouette soft)

เป็นไหม PGA ลักษณะมีปมกลม ๆ ตามแนวเส้นไหม และมีพลาสติกทรงกรวยเล็ก ๆ อยู่ระหว่างปมของเส้นไหม จับเนื้อเยื่อ ได้มากขึ้น โดยไม่ทําให้เนื้อเยื่อภายในบาดเจ็บมาก ช่วยยกกระชับผิวมากกว่าการสร้างคอลลาเจน ไม่เกิดความระคายเคือง อยู่ ได้ 1-3 ปี แต่ใช้เวลาในการทํานาน แต่อาจปวดและมีอาหารบวมหลังทํา เหมาะกับคนที่มีความหย่อนคล้อยมากตั้งแต่ชั้น กล้ามเนื้อ อย่างคนวัยสี่สิบห้าเป็นต้นไป

ไหม PLLA

ลักษณะคล้ายไหมเงี่ยง แต่มีสีขาวใส ไม่ค่อยยืดหยุ่น จึงไม่ค่อยนิมยมมากนัก เพราะมีปัญหาขาดหักง่าย

ผลลัพธ์ การทําเป็นอย่างไร

อาการข้างเคียง

  • มีอาการบวม หรือเขียวช้ํา แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองใน 7 – 14 วัน
  • ขณะทําจะรู้สึกถึงเส้นไหมที่ถูกร้อยเข้าไปบนใบหน้า
  • อาจมีเลือดออกบริเวณที่แทงเข็มเข้าไป

สําหรับผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น ไหมทะลุ ไหมขาด เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ติดเชื้อ ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะเกิดจากการร้อยไหมกับหมอ เถื่อน คลินิกเถื่อน ไม่ได้ใช้ไหมที่ปลอดภัย ดังนั้นก่อนตัดสินใจ ร้อยไหม ควรพิถีพิถันในการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและหมอที่มีประสบการณ์ เท่านั้น

ข้อดีข้อเสีย

  1. เงี่ยงไหมที่คล้ายตะขอจะเกี่ยวดึงผิวขึ้นได้ทันที หลังร้อยไหมเห็นผลได้ทันที
  2. เส้นใยดังกล่าว ถ้าอยู่ในแนวที่ถูกต้อง และชั้นผิวที่เหมาะสม ก็จะสามารถช่วยประคองผิว กระชับผิว คล้าย ๆ เส้นเอ็นที่อยู่ บนใบหน้าตามธรรมชาติ
  3. ไหมละลายที่ปลอดภัยสําหรับการร้อยไหมในปัจจุบันทําจากวัสดุ 3 ชนิด

PDO (Polydioxanone)
PLLA (Polylactate)
PCL (Polycaprolactone)

ซึ่งวัสดุทั้ง 3 ชนิดนี้ ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลครับ

  1. ไหมละลายในปัจจุบัน ไม่มีส่วนผสมของโลหะ สามารถละลายได้หมด 100% ตามระยะเวลา โดยไม่มีสารตกค้าง จะเหลือ เพียงเส้นใย elastin ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาซึ่งช่วยประคองผิว
  2. ในคนที่แก้มตอบบางเคสสามารถใช้ไหมดึงไขมันขึ้นมาเติมแก้มได้ แก้มล่างยุบและแก้มบนเต็มขึ้น (ต้องมีเนื้อแก้มส่วนล่างให้ดึงนะครับ ถ้าไม่มีเนื้อก็ต้องใช้ฟิลเลอร์)
  3. หาก ร้อยไหม กับแพทย์ที่มีความชํานาญ และร้อยด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะลดความเสี่ยงในการบวมช้ําลงได้มาก
  4. การร้อยไหมเส้นเล็ก ๆ สามารถแก้ริ้วรอยในบางจุดได้เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปากที่คล้าย ๆ ลักยิ้ม หรือริ้วรอยหางตา, หน้าผาก ในเคสที่ดื้อโบท็อก

ข้อเสีย

  1. บนเส้นไหมจะมีเงี่ยงที่ทําหน้าที่คล้ายตะขอสําหรับดึงผิวไปในทิศที่ต้องการ ถ้าร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรือร้อยตื้น เกินไป จะเกิดรอยปุ่มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหมได้
  2. เส้นไหมจะกระตุ้นให้ fibroblast (เซลล์สร้างคอลลาเจน) เกิดการสร้างเส้นใย collagen และ elastin แต่ถ้าซ้อนทับกันมากเกินไป และอยู่ในตําแหน่งที่ไม่ถูกต้องก็จะเรียกว่า พังผืด (fibrosis) ถ้าอยู่ในผิวชั้นตื้นเกินไป ก็จะดึงรั้งผิวให้ผิดรูปได้
  3. ไหมละลายมีอายุ 4 เดือน – 2 ปี ขึ้นกับชนิดของเส้นไหม แต่ถึงแม้ไหมจะยังละลายไม่หมด ในคนส่วนมาก เมื่อเวลาผ่านไป 6-8เดือน ผิวก็จะหลุดออกจากเส้นไหมได้ก่อน ทําให้ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าตามที่โฆษณาและไหมละลายบางชนิดที่อยู่ได้ นาน แต่ขาดความยืดหยุ่น เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดการเคลื่อนตัวและทะลุโผล่ออกมานอกผิวหนังได้
  4. หากเป็นไหมยุคโบราณ ที่มีส่วนผสมของโลหะ เช่นทองคํา โลหะจะดูดความร้อนจากการทํา X-ray, MRI, เครื่องสแกนต่าง ๆ และจะทําให้ผิวไหม้ได้
  5. ในทรงหน้าของบางเคสที่โหนกแก้มเด่น หากร้อยไหมจะยิ่งทําให้โหนกแก้มเด่นขึ้น และไม่สวยแนะนําให้ปรับรูปหน้าด้วยวิธี อื่นแทนเช่น ฟิลเลอร์แก้มตอบ

6 .ในการร้อยไหม มีความเสี่ยงที่จะเกิดการบวมช้ําหลังทําค่อนข้างสูง ทั้งจากการฉีดยาชา และเลือดที่ออกใต้ผิวหนัง ถึงแม้ หลังทําทันที่จะบวมน้อย แต่ก็อาจจะบวมมากขึ้นในช่วง 3-4 วันแรก ซึ่งส่วนมากก็จะหายได้เองภายใน 7-14 วัน

  1. บางคลินิกใช้การร้อยไหมเติมแทนฟิลเลอร์ อันนี้ไม่แนะนําให้ทําครับ เพราะการเติมเต็มใต้ตาร่องแก้มต้องใช้ปริมาณเส้น ไหมจํานวนมาก (เป็นร้อย ๆ เส้น) จะทําให้เกิดพังผืด และเกิดปัญหาในอนาคตครับบางคลินิกนําไหมไปปั่นเป็นผงเล็กๆ (ไหมน้ํา) แล้วฉีดแทนฟิลเลอร์ อันนี้ก็ทําให้เกิดพังผืดครับ ไม่แนะนําครับ

วิธีการดูแลตัวเอง

ข้อปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง ร้อยไหม เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

ก่อนร้อยไหม

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้าและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษา
  • เมื่อปรึกษาแพทย์เรียบร้อยแล้ว ถ้าพร้อมก็สามารถร้อยไหมได้เลยครับ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา วิตามินและยาที่ทานประจํา (ก่อนร้อย ไหมควรงดยาและวิตามิน เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ginseng และ Vitamin E)
  • 24 ชั่วโมงก่อนร้อยไหม ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทําให้เลือดสูบฉีด
  • ทางคลินิกจะมีการฉีดยาชาให้ก่อนร้อยไหม

การดูแลตัวเอง หลังร้อยไหม

  1. หลังร้อยเสร็จทันที อาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ํา ในจุดที่ร้อยไหมได้เป็นปกติ หายไปเองใน 2-3 วัน ห้ามแกะ เกา หรือกดนวด
  2. ทางคลินิกจะมีการจ่ายยาแก้ปวด ลดบวมให้
  3. ช่วง 3 วันแรก ไม่ควรขยับใบหน้าเยอะ อาจทําให้ไหมเคลื่อนที่ผิดตําแหน่งได้
  4. งดยิงเซเลอร์ร้อน และหัตถการอื่นๆ ที่ใช้ความร้อน เป็นเวลา 2 เดือน

ในการดูแลตัวเองหลังร้อยไหม เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ข้อสําคัญคือควรปฏิบัติตามข้อแนะนําของแพทย์อย่างเคร่งครัดครับ โดยหลีกเลี่ยง กิจกรรมที่เกี่ยวกับความร้อนและควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสใบหน้า